Читать онлайн книгу "ธรรมเนียมแห่งดาบ"

ธรรมเนียมแห่งดาบ
มอร์แกน ไรซ์


วงแหวนของผู้วิเศษ #7
วงแหวนของผู้วิเศษ มีส่วนผสมทุกอย่างของการประสบความสำเร็จทันที ไม่ว่าจะเป็นโครงเรื่องหลัก โครงเรื่องย่อย ความลึกลับ อัศวินผู้กล้าหาญ ความสัมพันธ์ที่เบ่งบานพร้อมกับการอกหัก การหลอกหลวงและการทรยศ มันจะทำให้คุณเพลิดเพลินได้หลายชั่วโมง และเป็นที่ชื่นชอบของทุกวัย แนะนำให้มีประจำไว้ในห้องสมุดสำหรับคอนักอ่านเรื่องแฟนตาซีBooks and Movie Reviews, Roberto Mattos ธรรมเนียมแห่งดาบ เป็นเล่มที่ 7 ในนิยายชุดขายดีเรื่อง วงแหวนของผู้วิเศษ ซึ่งเริ่มต้นด้วยนิยายขายดีอันดับ 1 เรื่องการเดินทางแห่งวีรบุรุษ (เล่ม 1) ! ใน ธรรมเนียมแห่งดาบ (เล่ม 7 ในชุดวงแหวนของผู้วิเศษ) ธอร์ต้องต่อสู้กับมรดกที่ได้รับมา และดิ้นรนเพื่อคำถามว่าบิดาของเขาคือใคร ไม่ว่ามันจะเปิดเผยความลับขอบเขาหรือไม่ และไม่ว่าจะต้องทำอะไร ธอร์กลับมายังอาณาจักรวงแหวนบ้านเกิด พร้อมกับไมโคเพิลส์ และดาบแห่งโชคชะตา ธอร์ตั้งใจที่จะแก้แค้นกองทัพของแอนโดรนิคัส และปลดปล่อยบ้านเกิดเป็นอิสระ และขอราชินีเกว็นโดลีนแต่งงานในที่สุด แต่เขากลับได้รู้ว่ามีอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เขาจะต้านทานได้ราชินีเกว็นโดลีนทรงกลับมาและพยายามอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้ปกครองเช่นที่พระนางถูกกำหนดให้เป็น โดยใช้พระสติปัญญารวบรวมกองกำลังที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงและขับไล่แอนโดรนิคัสไปตลอดกาล พระนางทรงได้กลับมาพบธอร์และเชษฐากับอนุชาของพระนาง ราชินีเกว็นลงซาบซึ้งที่ความรุนแรงได้จบแล้ว และเป็นโอกาสในการเฉลิงฉลองอิสรภาพ แต่ทุกสิ่งกลับเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวดเร็วเกินไปด้วย และก่อนที่พระนางจะทรงรู้ ชีวิตของพระนางก็กลับตาลปัตรอีกครั้ง เจ้าหญิงลูอันดา เชษฐภคินีของพระนางทรงชิงดีชิงเด่น และตั้งใจที่จะยึดอำนาจ ขณะที่อนุชาของราชาแม็คกิลยกกองทัพมาถึง เพื่อแย่งชิงบัลลังก์ ราชินีเกว็นโดลีนทรงถูกโจมตีจากสายลับและการลอบปลงพระชนม์จากรอบด้าน พระนางทรงเรียนรู้ว่าการเป็นราชินีนั้นไม่ได้ปลอดภัยเช่นที่เคยคิดในที่สุดความรักของเจ้าชายรีซกับเซเลสก็มีโอกาสที่จะเบ่งบาน แต่ในขณะเดียวกัน ความรักเก่าของพระองค์ก็ปรากฏตัวขึ้น และเจ้าชายทรงพบว่าพระองค์ทรงลังเล แต่ในไม่ช้าช่วงเวลาเรียบเรื่อยก็ถูกแทนที่ด้วยศึกสงคราม เจ้าชายรีซ เอลเด็น โอคอนเนอร์ คอนเวน เจ้าชายเคนดริค อีเร็ค และแม้แต่เจ้าชายก็อดฟรีย์ต้องเผชิญและเอาชนะความลำบากด้วยกันถ้าพวกเขาจะสามารถรอดชีวิตไปได้ สงครามพาพวกเขาไปทั่วทุกมุมของอาณาจักร ขณะที่ต้องแข่งกับเวลาเพื่อขับไล่แอนโดรนิคัส และช่วยให้ตัวเองรอดพ้นจากการทำลายล้างอย่างสิ้นซาก สงครามแห่งพลังที่รุนแรงและไม่คาดคิดเพื่อครอบครองอาณาจักรวงแหวน ทำให้ราชินีเกว็นทรงรู้ว่าพระนางต้องทำทุกอย่างเพื่อหาตัวอาร์กอนและนำเขากลับมาในที่สุด ก็เกิดเหตุการณ์พลิกผันขึ้นอีก ธอร์ได้รู้เมื่อพลังของเขาเพิ่มขึ้นสูงสุด ว่าเขามีความอ่อนแอที่ถูกซ่อนไว้ เป็นสิ่งที่อาจจะทำให้เขาต้องพ่ายแพ้ในที่สุดธอร์และเพื่อน ๆ จะสามารถปลดปล่อยอาณาจักรวงแหวนและเอาชนะแอนโดรนิคัสได้หรือไม่? ราชินีเกว็นโดลีนจะได้เป็นราชินีเช่นที่ทุกคนอยากให้พระนางเป็นหรือไม่? จะเกิดอะไรขึ้นกับดาบแห่งโชคชะตา อีเร็ค เจ้าชายเคนดริค เจ้าชายรีซ และเจ้าชายก็อดฟรีย์? และความลับที่อลิสแตร์ปิดบังไว้คืออะไร?ด้วยการสร้างสรรค์ตัวละครและเนื้อเรื่องที่เป็นผลงานระดับโลก ทำให้ ธรรมเนียมแห่งดาบ เป็นมหากาพย์เรื่องราวของเพื่อนและคู่รัก คู่แข่งและคู่แค้น อัศวินและมังกร แผนทางการเมืองและเล่ห์เพทุบาย การเติบโต การอกหัก การหลอกลวง ความทะเยอะทะยานและการทรยศ และยังเป็นเรื่องราวแห่งเกียรติยศและความกล้าหาญ โชคชะตา วาสนาและเวทมนต์ เป็นนิยายแฟนตาซีที่จะนำเราไปสู่โลกที่เราจะไม่มีวันลืม ซึ่งเหมาะกับทุกเพศทุกวัยเล่ม 8-17 ในชุดนี้มีให้อ่านแล้ว! เต็มไปด้วยบทบู๊ โรแมนติก ผจญภัยและระทึกขวัญ มีไว้สักเล่มแล้วคุณจะตกหลุมรักอีกครั้ง vampirebooksite. com (สำหรับเรื่อ Turned)







ธรรมเนียมแห่งดาบ



(เล่ม 7 ในชุดวงแหวนของผู้วิเศษ)



มอร์แกน ไรซ์



แปลโดย

ธนปัญญา


ประวัติ มอร์แกน ไรซ์



มอร์แกน ไรซ์ เป็นผู้แต่งหนังสือขายดีอันดับ 1 และเป็นผู้แต่งมหากาพย์แฟนตาซีที่ขายดีที่สุดใน USA Today นิยายชุดวงแหวนของผู้วิเศษ จำนวน 17 เล่ม นิยายชุดขายดีอันดับ 1 บันทึกของแวมไพร์ จำนวน 11 เล่ม (และยังมีเล่มต่อไป) นิยายชุดขายดีอันดับ 1 เรื่อง THE SURVIVAL TRILOGY เรื่องราวระทึกขวัญหลังวันโลกาวินาศ (และยังมีเล่มต่อไป) และนิยายชุดเรื่องราวแฟนตาซีใหม่ล่าสุด กษัตริย์และผู้วิเศษ จำนวน 6 เล่มหนังสือของมอร์แกนมีทั้งรูปแบบเสียงและสิ่งพิมพ์ และได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากกว่า 25 ภาษา

มอร์แกน ยินดีรับฟังความคิดเห็นของคุณ โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.morganricebooks.com เพื่อสมัครรับข่าวสารทางอีเมล พร้อมรับหนังสือฟรีและของรางวัลมากมาย สามารถดาวน์โหลดแอปฟรี เพื่อรับข่าวสารล่าสุด หรือเชื่อมต่อกับ Facebook และ Twitter โปรดติดตาม!


คำนิยมสำหรับ มอร์แกน ไรซ์



“วงแหวนของผู้วิเศษ มีส่วนผสมทุกอย่างของการประสบความสำเร็จทันที ไม่ว่าจะเป็นโครงเรื่องหลัก โครงเรื่องย่อย ความลึกลับ อัศวินผู้กล้าหาญ ความสัมพันธ์ที่เบ่งบานพร้อมกับการอกหัก การหลอกหลวงและการทรยศ มันจะทำให้คุณเพลิดเพลินได้หลายชั่วโมง และเป็นที่ชื่นชอบของทุกวัย แนะนำให้มีประจำไว้ในห้องสมุดสำหรับคอนักอ่านเรื่องแฟนตาซี”

--Books and Movie Reviews, Roberto Mattos



“นิยายมหากาพย์แฟนตาซีที่น่าสนุกสนาน”

--Kirkus Reviews



“จุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่น่าดึงดูดใจ”

-- San Francisco Book Review



“อัดแน่นไปด้วยการผจญภัย...งานเขียนของไรซ์ช่างเข้มข้นและวางโครงเรื่องอย่างมีเหตุมีผล”

-- Publishers Weekly



“นิยายแฟนตาซีที่สร้างแรงบันดาลใจ เป็นจุดเริ่มต้นของมหากาพย์นิยายสำหรับวัยรุ่นที่เหมาะสม”

-- Midwest Book Review


หนังสือของ มอร์แกน ไรซ์



กษัตริย์และผู้วิเศษ

กำเนิดราชันย์มังกร (เล่ม 1)

กำเนิดความกล้าหาญ (เล่ม 2)

เกียรติยศอันยิ่งใหญ่ (เล่ม 3)



ชุด วงแหวนของผู้วิเศษ

เส้นทางแห่งวีรบุรุษ (เล่ม 1)

การเดินทางแห่งราชา (เล่ม 2)

ชะตาแห่งมังกร (เล่ม 3)

เสียงร่ำร้องแห่งเกียรติยศ (เล่ม 4)

คำปฏิญาณแห่งศักดิ์ศรี (เล่ม 5)

หน้าที่ของผู้กล้า (เล่ม 6)

อำนาจแห่งดาบ (เล่ม 7)

ประทานพรแห่งสรรพาวุธ (เล่ม 8)

นภาแห่งเวทมนตร์ (เล่ม 9)

ท้องทะเลแห่งโล่ (เล่ม 10)

การครองราชย์แห่งเหล็กกล้า (เล่ม 11)

ดินแดนแห่งเปลวเพลิง (เล่ม 12)

บัญญัติแห่งราชินี (เล่ม 13)

คำสาบานของพี่น้อง (เล่ม 14)

ความฝันแห่งมรณะ (เล่ม 15)

การแข่งขันของอัศวิน (เล่ม 16)

ของขวัญจากการต่อสู้ (เล่ม 17)



ไตรภาคแห่งหนทางการอยู่รอด

สนามที่หนึ่ง ปลดปล่อยความเป็นทาส (เล่ม 1)

สนามที่สอง (เล่ม 2)



บันทึกของแวมไพร์

กลายร่าง (เล่ม 1)

ความรัก (เล่ม 2)

การทรยศ (เล่ม 3)

พรหมลิขิต (เล่ม 4)

ความปรารถนา (เล่ม 5)

การหมั้นหมาย (เล่ม 6)

คำสาบาน (เล่ม 7)

การค้นหา (เล่ม 8)

ฟื้นคืนชีพ (เล่ม 9)

การโหยหา (เล่ม 10)

โชคชะตา (เล่ม 11)













ฟัง นิยายชุด วงแหวนของผู้วิเศษ ในรูปแบบหนังสือเสียง!


ลิขสิทธิ์ © 2013 โดย มอร์แกน ไรซ์

สงวนลิขสิทธิ์ ยกเว้นที่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ ของสหรัฐฯ พ.ศ. 2519 ห้ามนำส่วนใดของการเผยแพร่นี้ไปทำซ้ำ แจกจ่ายหรือถ่ายทอดในรูปแบบใด ๆ หรือโดยความหมายใด ๆ หรือเก็บบันทึกเป็นข้อมูล หรือระบบสืบค้น โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เขียน

หนังสือ ebook นี้ อนุญาตเพื่อความบันเทิงส่วนตัวของคุณเท่านั้น และ ebook เล่มนี้ไม่อาจนำไปขายซ้ำ หรือยกให้ผู้อื่น หากคุณต้องการแบ่งปันหนังสือเล่มนี้กับผู้อื่น ขอความกรุณาซื้อเพิ่มใหม่เป็นส่วนตัว หากคุณกำลังอ่านหนังสือเล่มนี้ และไม่ได้ซื้อ หรือไม่ได้ซื้อในนามของคุณ ขอความกรุณาส่งคืนและดำเนินการซื้อในนามของคุณ ขอบคุณที่ให้ความเคารพในการทำงานอย่างหนักของผู้เขียน

หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ชื่อ ตัวละคร ธุรกิจ องค์กร สถานที่ สถานการณ์ และเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน หรือเป็นการแต่งขึ้น ความคล้ายคลึงใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลจริง ทั้งที่ยังมีชีวิตหรือเสียชีวิตไปแล้ว เป็นความบังเอิญทั้งสิ้น

Jacket image Copyright RazoomGame, used under license from Shutterstock.com.








สารบัญ



บทที่ หนึ่ง (#u796db9b3-d994-5739-9a1a-87156e25bb17)

บทที่สอง (#u4af678e7-2932-5335-bf62-cf840f29adcd)

บทที่ สาม (#u714fdc33-beea-5705-aa98-a8cebd61fc41)

บทที่ สี่ (#u4ecece83-ac40-5bd8-8b4e-5eb8dc78f618)

บทที่ ห้า (#ub48162f4-4e46-5c48-9d52-4009f9b4d614)

บทที่ หก (#ub1c4f4f0-7362-53f4-8a44-ff455f4f4b23)

บทที่ เจ็ด (#u281209e0-7428-55f6-a729-6120bb05e402)

บทที่ แปด (#u76591e47-3e0e-5994-8929-f32636b51f53)

บทที่ เก้า (#u78e4cd9f-b35e-5b97-9ff2-2803114124e2)

บทที่ สิบ (#u1b94c95d-cd84-5acb-b968-0505e1062cbd)

บทที่ สิบเอ็ด (#litres_trial_promo)

บทที่ สิบสอง (#litres_trial_promo)

บทที่ สิบสาม (#litres_trial_promo)

บทที่ สิบสี่ (#litres_trial_promo)

บทที่ สิบห้า (#litres_trial_promo)

บทที่ สิบหก (#litres_trial_promo)

บทที่ สิบเจ็ด (#litres_trial_promo)

บทที่ สิบแปด (#litres_trial_promo)

บทที่ สิบเก้า (#litres_trial_promo)

บทที่ ยี่สิบ (#litres_trial_promo)

บทที่ ยี่สิบเอ็ด (#litres_trial_promo)

บทที่ ยี่สิบสอง (#litres_trial_promo)

บทที่ ยี่สิบสาม (#litres_trial_promo)

บทที่ ยี่สิบสี่ (#litres_trial_promo)

บทที่ ยี่สิบห้า (#litres_trial_promo)

บทที่ ยี่สิบหก (#litres_trial_promo)

บทที่ ยี่สิบเจ็ด (#litres_trial_promo)

บทที่ ยี่สิบแปด (#litres_trial_promo)

บทที่ ยี่สิบเก้า (#litres_trial_promo)

บทที่ สามสิบ (#litres_trial_promo)

บทที่ สามสิบเอ็ด (#litres_trial_promo)

บทที่ สามสิบสอง (#litres_trial_promo)

บทที่ สามสิบสาม (#litres_trial_promo)

บทที่ สามสิบสี่ (#litres_trial_promo)

บทที่ สามสิบห้า (#litres_trial_promo)

บทที่ สามสิบหก (#litres_trial_promo)

บทที่ สามสิบเจ็ด (#litres_trial_promo)

บทที่ สามสิบแปด (#litres_trial_promo)

บทที่ สามสิบเก้า (#litres_trial_promo)

บทที่ สี่สิบ (#litres_trial_promo)


“หรือนั่นคือสิ่งท่านสื่อ มายังข้า?

หากมันเป็นสิ่งดี แท้ทั่วหน้า

ใส่เกียรติในดวงตา อีกข้างใส่ความตาย

แล้วข้าจะเป็นกลาง เมื่อมองมาทั้งสองตา

หากพระเจ้าทรงเร่งรัดในข้า ตัวข้ารัก

ชื่อในเกียรติมากกว่ากลัวเรื่องตัวตาย”



--วิลเลียม เชคสเปียร์

จูเลียส ซีซาร์




บทที่ หนึ่ง


ธอร์ขี่หลังของไมโคเพิล ขณะที่เธอโบยบินข้ามเขตชนบทในอาณาจักรวงแหวนที่ขยายยาวออกไป เขากำลังมุ่งหน้าลงใต้ เพื่อตามหาราชินีเกว็นโดลีน ธอร์กำดาบแห่งโชคชะตาในมือแน่น เมื่อเขามองลงไป ณ เบื้องล่าง เขาได้เห็นกองทัพแอนโดรนิคัสที่มีกำลังพลนับล้าน มันเป็นภาพของกองกำลังที่แพร่ออกไปอย่างไม่มีประมาณ มันปกคลุมอาณาจักรวงแหวนราวกับการชุมนุมของกลุ่มตั๊กแตนจำนวนมาก เขารับรู้ถึงการเต้นตุ่บๆ ของดาบที่อยู่ในอุ้งมือและรู้สึกว่ามันกำลังกระตุ้นให้เขาทำอะไรบางอย่าง เพื่อปกป้องอาณาจักร เพื่อกวาดล้างผู้รุกราน มันเหมือนกับว่าดาบเป็นผู้สั่งการเขาและธอร์ก็มีความสุขเหลือเกินที่จะกระทำตาม

ภายในไม่ช้า ธอร์ก็จะคืนกลับไปและทำให้พวกรุกรานทุกคนต้องชดใช้ ในขณะนี้ โล่พลังฟื้นคืนขึ้นแล้ว พวกแอนโดรนิคัสและกำลังพลของเขาจะเข้ามาติดกับ และจะไม่มีกองสนับสนุนของจักรวรรดิผ่านเข้ามาได้อีกต่อไป และธอร์ก็จะไม่หยุดพัก จนกว่าเขาจะได้ฆ่าพวกนั้นทุกคน

แต่ในขณะนี้ มันยังไม่ถึงเวลาสำหรับการฆ่าฟัน งานที่สำคัญอันดับแรกของเขาคือ รักแท้หนึ่งเดียวของเขา ราชินีเกว็นโดลีนผู้หญิงที่เขาปรารถนามาโดยตลอด ตั้งแต่จากเขตพรมแดนมา ธอร์ปรารถนาจะได้สบพระเนตรกับพระองค์อีกสักครั้ง ที่จะได้สวมกอดพระนาง และเขาอยากรู้ว่าพระนางยังมีชีวิตอยู่ แหวนของแม่ที่อยู่ข้างในเสื้อเชิ้ตของเขาร้อนดั่งไฟแผดเผา เขาอดใจรอแทบไม่ไหว รอวันที่จะมอบมันกับพระนางเกว็นโดลีนเพื่อเป็นการปฏิญาณความรักของเขา เพื่อขอพระองค์แต่งงาน เขาต้องการให้พระองค์รู้ว่า ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนไประหว่างเขาทั้งคู่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพระนาง เขาก็ยังจะรักพระองค์มากและมากยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ และเขาต้องการให้พระนางรับรู้มันไว้

ไมโคเพิลส่งเสียงครางอย่างแผ่วเบา ธอร์สามารถสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากเกล็ดของมัน เขารับรู้ว่าไมโคเพิลก็กระตือรือร้นอยากไปหาพระนางเกว็นโดลีนเช่นเดียวกัน ไปให้ทันก่อนที่จะมีอะไรจะเกิดขึ้นกับพระองค์ ไมโคเพิลก้มหัวต่ำลงและโซเซ บินเข้าออกไปในหมู่เมฆ มันกระพือปีกอันมโหฬาร และดูเหมือนพอใจที่ได้หยุดที่นี่ข้างในวงแหวน โดยมีธอร์ขี่หลังอยู่ ความผูกพันระหว่างกันเพิ่มพูนมากขึ้น ธอร์รู้สึกว่าไมโคเพิลได้แบ่งปันความนึกคิดและความปรารถนาของเขาในทุกเรื่อง มันเหมือนกับว่าเขาได้ขี่ร่างอันใหญ่โตของตัวเขาเอง

ความคิดของธอร์ผละจากเรื่องของพระนางเกว็นโดลีนเมื่อเขาบินผ่านเข้าออกหมู่เมฆ คำพูดของราชินีองค์ก่อนยังคงครอบงำความคิดของเขา ยิ่งเขาปรารถนาจะลบมันออกไปจากใจมากเท่าใด มันก็ยิ่งหวนคืนกลับมาให้คิดมากขึ้นเท่านั้น เรื่องที่พระองค์เปิดเผยกับเขา มันทำให้เขาเจ็บปวดเกินกว่าที่เขาคาดคิด แอนโดรนิคัสอัน นั้นหรือ? คือบิดาของเขา?

มันไม่มีทางเป็นไปได้ ส่วนหนึ่งของธอร์คาดหวังไว้ว่ามันคงเป็นการเล่นเกมทางจิตวิทยาอันโหดร้ายของราชินีองค์ก่อน ผู้ซึ่งเกลียดเขามาตั้งแต่ต้นและเสมอมา บางทีราชินีอาจจะต้องการที่จะปลูกฝังความเชื่อความคิดผิดๆ ในจิตใจเขา เพื่อทำให้เขาปั่นป่วน เพื่อกันตัวเขาออกจากพระธิดาของพระองค์ หรือไม่ว่าจะเพราะเหตุผลอะไรก็ตาม ธอร์อยากที่จะเชื่อมันในแบบนั้นอย่างที่สุด

แต่ส่วนลึกในจิตใจของเขา เขารับรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง พระสุรเสียงของพระราชินีขณะมีพระกระแสดำรัสนั้นดังก้องกังวานอยู่ในกายและอยู่ในจิตวิญญาณของธอร์ แม้เขาจะปรารถนาอยากจะคิดเป็นอื่นมากเพียงไหน เมื่อพระองค์ตรัสออกมาในครั้งที่สอง เขารับรู้ได้ว่าแอนโดรนิคัสคือพ่อของเขาโดยแท้จริง

ความคิดพวกนี้ยังสถิตย์อยู่ในใจเขาราวกับฝันร้าย เขายังคงหวังและภาวนาว่า ในเบื้องลึกลงไปในใจของเขานั้น พระราชาแม็คกิลคือพระบิดาของเขา และบางทีพระนางเกว็นโดลีนเองก็ไม่ใช่พระธิดาของพระองค์อย่างแท้จริง นั่นจะทำให้พวกเขาทั้งคู่ได้ครองคู่กัน ธอร์เคยมีความหวังอยู่เสมอกับการรับรู้ความจริงเกี่ยวกับบิดาว่ามันจะสมเหตุสมผล และรู้เรื่องชะตาชีวิตของเขาที่จะออกมาอย่างชัดแจ้ง

การได้รับรู้ว่าพ่อของเขาไม่ใช่วีรบุรุษก็เป็นเรื่องหนึ่งที่เขาพอทำใจยอมรับได้ แต่การได้รับรู้ว่าพ่อของเขาเป็นอสูรกายที่ป่าเถื่อนที่สุดในบรรดาอมนุษย์และมนุษย์ทั้งหลาย มันแย่ยิ่งกว่าอะไรทั้งมวล ธอร์ต้องการให้เขาจบชีวิต เขาต้องการมันมากพอๆกับวิธีที่จะส่งเขาเข้าสู่ความตาย ธอร์มีสายเลือดของแอนโดรนิคัสอยู่ในตัว มันมีความหมายอะไรกับธอร์หรือ? หรือมันหมายถึงว่าธอร์ถูกกำหนดให้เป็นอสุรกายไปด้วย? มันหมายถึงว่าเขามีกระแสเลือดแห่งปีศาจวิ่งพล่านอยู่ในเส้นเลือดของเขางั้นหรือ? เขาได้ถูกกำหนดให้กลายเป็นเหมือนกับบิดาของเขางั้นหรือ? หรือมันเป็นไปได้ไหมที่เขาจะแตกต่างไปจากบิดา แม้ว่าจะร่วมสายเลือดเดียวกัน? ชะตากรรมจะถูกส่งผ่านมายังสายเลือดหรือไม่? คนในแต่ละรุ่นต่างกันมีชะตากรรมของตัวเองใช่หรือไม่?

ธอร์ดิ้นรนที่จะเข้าใจ ว่าทั้งหมดนี่มีความหมายต่อดาบแห่งโชคชะตาอย่างไร ถ้าตำนานเป็นจริงอย่างที่ว่า พวกแม็คกิลเท่านั้นถึงจะยกดาบขึ้นได้ นั่นก็หมายถึงว่าธอร์เป็นหนึ่งในพวกแม็คกิลด้วย ถ้าเป็นเช่นนั้นแอนโดรนิคัส จะเป็นพ่อของเขาได้อย่างไร ไม่เช่นนั้น บางทีแอนโดรนิคัสอาจจะเป็นพวกแม็คกิลหรือ?

ทั้งหมดทั้งมวลที่แย่ที่สุดก็คือ ธอร์จะบอกเรื่องนี้กับเกว็นโดลีนได้อย่างไร? เขาจะบอกกับเธอว่าเขาเป็นลูกชายของศัตรูที่เธอเกลียดมากที่สุดได้อย่างไร? ผู้ชายคนที่เคยเข้าโจมตีเธอ เธอคงจะเกลียดธอร์อย่างแน่นอน และในทุกครั้งที่เธอเห็นธอร์ เธอก็จะเห็นหน้าของแอนโดรนิคัสปรากฏอยู่ด้วย อย่างไรก็ดีธอร์จะต้องบอกเธอ เพราะเขาไม่สามารถเก็บความลับนี้จากเธอได้ มันจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสองหรือไม่?

เลือดในตัวธอร์เดือดพล่านไปด้วยความโกรธ เขาต้องการที่จะฟาดฟันแอนโดรนิคัสที่บังอาจมาเป็นพ่อของเขา ที่มาทำเรื่องอย่างนี้กับเขา ขณะที่เขาบินอยู่ ธอร์มองลงมาเบื้องล่างและกวาดสายตาไปทั่วพื้นดิน เขารู้ว่าแอนโดรนิคัสยู่ด้านล่างนั่น สักที่แห่งใดแห่งหนึ่ง อีกไม่ช้าไม่นานเขาก็จะได้พบกันตัวต่อตัว เขาจะได้เจอกัน เผชิญหน้ากันและก็จะฆ่าเขาทิ้งซะ

แต่อย่างแรก เขาจะต้องตามหาพระนางเกว็นโดลีนขณะที่พวกเขาข้ามผ่านเขตป่าทางใต้ ธอร์รับรู้ได้ว่าเธออยู่ใกล้เขาแล้ว เขา มีความรู้สึก ว่าจะมีสิ่งเลวร้ายบางอย่างกำลังเกิดขึ้นกับเธอ เขาเร่งไมโคเพิล ให้เร็วขึ้นและเร็วขึ้นอีก เพราะรับรู้ได้ว่า ขณะนี้ ชั่วเวลาใดเวลาหนึ่ง มันอาจจะเป็นวินาทีสุดท้ายในชีวิตของเธอก็ได้




บทที่สอง


ราชินีเกว็นโดลีนทรงยืนอยู่เพียงลำพังตรงกำแพงอิฐด้านบนของหอคอยหลีกลี้ พระนางทรงเครื่องเป็นชุดคลุมสีดำยาว ที่แม่ชีได้ให้กับพระนางไว้แล้วทรงมีความรู้สึกราวกับว่า พระนางได้เคยประทับที่นี่มาแล้วชั่วกาลนาน พระนางทรงได้รับการต้อนรับในความเงียบจากแม่ชีเพียงคนเดียวเธอให้คำแนะนำและพูดเพียงครั้งเดียว เธอสอนพระนางเกี่ยวกับกฎระเบียบของที่นี่ มันจะไม่มีการพูด ไม่มีการสื่อสารกับใครใดๆ ทั้งนั้น ผู้หญิงแต่ละคนอยู่ที่นี่ด้วยตัวเอง แยกออกไปจากจักรวาลทั้งมวล ผู้หญิงแต่ละคนต้องการอยู่ตามลำพัง นี่คือหอคอยหลีกลี้ สถานที่ที่พวกเขามา เพื่อแสวงหาการเยียวยารักษาใจ พระนางเกว็นโดลีนจะทรงปลอดภัยจากอันตรายทั้งหมดในโลก เมื่อพระนางอยู่ที่นี่ พร้อมกับความรู้สึกโดดเดี่ยว ช่างโดดเดี่ยวอย่างถึงที่สุด

ราชินีเกว็นโดลีนทรงเข้าใจทุกอย่างอย่างดี พระนางทรงต้องการถูกทิ้งเพียงลำพังด้วยเช่นกัน

พระนางทรงยืนอยู่ที่นั่นแล้วตรงด้านบนสุดของหอคอย พระนางทรงกวาดสายพระเนตรมองทิวทัศน์ยอดไม้ของป่าทางใต้ในอาณาจักรวงแหวนและพระนางทรงรู้สึกโดดเดี่ยวมากกว่าที่เคยเป็น พระนางทรงทราบว่า พระนางควรจะต้องเข้มแข็ง พระนางต้องเป็นนักสู้เป็นพระธิดาของพระราชาและภรรยาหรือเกือบจะเป็นภรรยาของนักรบผู้ยิ่งใหญ่

แต่พระนางเกว็นโดลีนก็ต้องทรงยอมรับว่ายิ่งพระนางทรงปรารถนาจะเข้มแข็งมากเท่าไหร่พระหฤทัยและจิตวิญญาณของพระองค์ก็ยังคงได้รับบาดเจ็บมากเท่านั้น พระนางทรงคิดถึงธอร์อย่างสุดซึ้ง อีกทั้งยังทรงกลัวว่า เขาจะไม่มีวันหวนกลับมาหาพระองค์ และแม้ว่าเขาจะกลับมาเมื่อเขาค้นพบว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระนางบ้างแล้ว พระนางทรงกลัวว่า เขาจะไม่ต้องการที่จะอยู่กับพระองค์อีกต่อไป

ราชินีเกว็นโดลีนรู้สึกโหวงเหวงที่รู้ว่าเมืองซิเลเซีย ได้ถูกทำลายลงและแอนโดรนิคัสโดรได้รับชัยชนะ และการที่ได้รู้ว่า ทุกคนที่พระนางห่วงใยถูกจับกุมและฆ่าตาย มีทหารของแอนโดรนิคัสอยู่ไปทั่วทุกซอกมุมแล้วขณะนี้ พวกเขาเข้าได้เข้าครอบครองอาณาจักรวงแหวนและไม่มีที่ไหนหลงเหลือไว้ให้กลับไปได้เลย พระนางเกว็นโดลีนทรงรู้สึกสิ้นหวังและท้อแท้ ซึ่งมันมากเกินกว่าคนอื่นๆที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่แย่ที่สุด คือพระนางรู้สึกเหมือนกับว่า พระนางทำให้ทุกคนผิดหวัง พระนางรู้สึกราวกับว่าพระองค์ทรงมีช่วงชีวิตอยู่มาเป็นเวลายาวนานหลายชั่วคนแล้ว พระนางไม่ต้องการจะเห็นอะไรไปมากกว่านี้

ราชินีเกว็นโดลีนทรงก้าวมาข้างหน้า เพื่อขึ้นไปยังแนวหินที่ยื่นออกจากผนัง ตรงริมขอบของกำแพง ที่มันอยู่ไกลออกไป ไกลเกินกว่าที่ใครสมควรจะมายืนอยู่ได้ พระนางทรงยกแขนของพระองค์ขึ้นอย่างช้าๆ และทรงเปิดพระกรออกมาด้านข้างตัว พระนางทรงรู้สึกถึงความแรงของกระแสลมเย็นที่พัดเข้ามาหา มันเป็นสายลมเย็นยะเยือกแห่งเหมันตฤดู มันทำให้พระนางสูญเสียการทรงตัวและพระวรกายก็ทรงโคลงเคลงอยู่ตรงขอบผาของกำแพงนั่น พระนางทอดพระเนตรลงไปและเห็นถึงการตกดิ่งลงสู่เบื้องล่าง

ราชินีเกว็นโดลีนทอดพระเนตรขึ้นไปยังท้องฟ้าและคิดถึงอาร์กอน พระนางสงสัยว่าเขาไปอยู่ที่ไหนหรือติดกับดักอยู่ในจักรวาลของตัวเขาเองหรือกำลังรับโทษทัณฑ์ของเขาอยู่แทนตัวของพระองค์เอง พระนางประสงค์ยอมสละได้ทุกอย่าง เพื่อที่จะพบเขาเดี๋ยวนี้ เพื่อที่จะได้ยินการตัดสินใจอย่างฉลาดเป็นครั้งสุดท้าย บางทีนั่นจะช่วยทำให้พระนางพลิกสถานการณ์ขึ้นมาได้

แต่เขาไม่อยู่แล้ว เขาก็ต้องชดใช้กับเรื่องนี้ แล้วก็จะไม่สามารถจะกลับมาได้อีก

ราชินีเกว็นโดลีนทรงหลับพระเนตรลงและทรงนึกถึงธอร์เป็นครั้งสุดท้าย ถ้าเขาอยู่ที่นี่มันก็จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างได้ ถ้า มีเพียงแค่ใครสักคนที่เหลืออยู่ในโลกนี้ที่เป็นคนที่รักเธออย่างแท้จริง นั่นคงทำให้พระนางมีเหตุผลสำหรับการมีชีวิตอยู่ต่อไป พระนางทอดพระเนตรขึ้นไปยังขอบฟ้า เหนือสิ่งอื่นใดแล้วนั้น พระองค์ทรงคาดหวังจะได้พบกับธอร์ เมื่อพระนางทอดพระเนตรไปยังหมู่เมฆที่เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว พระนางทรงคิดไปว่าได้ยินเสียงดังลางๆ มาจากขอบฟ้าที่ไหนซักแห่ง มันเหมือนกับเสียงคำรามของมังกร มันห่างออกไปมาก เสียงช่างแผ่วเบามาก พระนางน่าจะจินตนาการมันขึ้นมาเอง มันดูราวกับว่าใจของพระนางกำลังเล่นตลกกับตัวเองอยู่ พระนางทรงรู้ว่าไม่มีมังกรไม่อยู่แถวนี้ในอาณาจักรวงแหวนซึ่งเหมือนกับที่พระนาทรงทราบว่าธอร์อยู่ไกลแสน ไกลและหายไปตลอดกาล ในจักรวรรดิ ในสถานที่บางแห่งที่เขาไม่สามารถจะย้อนคืนกลับมา

น้ำพระเนตรหลั่งไหลอยู่บนพระปราง เมื่อราชินีเกว็นโดลีนทรงคิดถึงธอร์ ทรงคิดถึงชีวิตที่ควรจะมีอยู่ด้วยกันและความใกล้ชิดที่พวกเขาเคยมี พระนางคิดไปถึงภาพใบหน้าของเขา น้ำเสียงของเขา และเสียงหัวเราะ พระนางแน่ใจว่าพวกเขาไม่มีทางแยกจากกันได้ ว่าพวกเขาจะไม่มีทางถูกแบ่งแยกไม่ว่าด้วยอะไรก็ตาม

"ธอร์!" พระนางเกว็นโดลีนก้มพระพักตร์กรรแสงและพระวรกายโซเซอยู่ที่ขอบผาของกำแพง พระองค์ทรงปรารถนาให้เขากลับมาหา

แต่เสียงของพระนางดังก้องกังวานอยู่ในลมและจางหายไป ธอร์อยู่ห่างไปอีกโลกหนึ่ง

ราชินีเกว็นโดลีนทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปจับเครื่องรางที่ธอร์เคยให้ไว้กับพระนาง มันเป็นสิ่งที่เคยช่วยชีวิตพระองค์ไว้ครั้งหนึ่ง พระนางรู้ว่าเมื่อพระนางเคยใช้มันไปแล้วหนึ่งครั้ง มันก็คือของใช้แล้ว จากนี้ไป จะไม่เหลือโอกาสอะไรอีกแล้ว

ราชินีเกว็นโดลีนทอดพระเนตรลงไปด้านล่างเลยผ่านแนวหินที่ยื่นจากกำแพงและพระนางทอดพระเนตรเห็นพระพักตร์ของพระบิดา พระองค์ถูกห้อมล้อมรอบไปด้วยแสงสีขาวและกำลังทรงส่งยิ้มมาทางพระนาง

พระนางทรงเอนตัวมาด้านหน้าและทรงวางพระบาทข้างหนึ่งตรงริมขอบกำแพง พระองค์ทรงปิดพระเนตรลง ทรงสัมผัสถึงสายลมเบาๆ พระนางทรงรู้สึกเหมือนกับกำลังบินอยู่ตรงนั้น อยู่ระหว่างสองโลก อยู่ระหว่างโลกแห่งความเป็นและโลกแห่งความตาย พระนางทรงรักษาสมดุลอย่างดีเยี่ยม และพระนางรู้ว่า เมื่อมีสายลมที่พัดแรงพัดมาอีกระลอกหนึ่ง นั่นจะเป็นการตัดสินว่าพระนางจะไปในทิศทางไหน

ธอร์ พระนางทรงครุ่นคิด ให้อภัยข้าด้วย




บทที่ สาม


เจ้าชายเคนดริคทรงอาชาอยู่เบื้องหน้ากองทัพแม็คกิลอันยิ่งใหญ่และทวีจำนวนขึ้นอย่างมากมาย โดยมีชาวเมืองซิเลเซียและเหล่าทหารจากชาวบ้าน จากอาณาจักรวงแหวน ที่ได้รับปลดปล่อยให้เป็นไท พวกเขาทั้งหมดมารวมตัวกันอยู่ด้านหน้าประตูหลักของเมืองซิเลเซียและออกเดินไปตามถนนอันกว้างใหญ่มุ่งหน้าไปทางตะวันออก เพื่อไปปะทะกับกองทัพของแอนโดรนิคัส ด้านข้างของเขามีสร็อก บรอม แอ็ทมีและเจ้าชายก็อดฟรีย์ ส่วนด้านหลังมีเจ้าชายรีส โอคอนเนอร์ คอนเว่น เอลเด็นและอินดรา อยู่ท่ามกลางนักรบหลายพันนาย พวกเขาได้ขี่ม้าผ่านซากศพนับพันๆ ของทหารแห่งกองทัพจักรวรรดิที่เนื้อตัวไหม้เกรียม ดูเป็นสีดำและแข็งทื่อจากเปลวไฟของมังกร ส่วนซากศพอื่นๆ ที่นอนตายเรียงรายนั้น มีรอยแผลจากดาบแห่งโชคชะตา ธอร์ได้ปลดปล่อยคลื่นแห่งการทำลายล้างนี้ จากการรบกับทั้งกองทัพลำพังเพียงคนเดียว เจ้าชายเคนดริคทอดพระเนตรดูมันรอบๆ และรู้สึกเกรงขามไปกับวิถีการทำลายล้างของธอร์ และพลังอำนาจของไมโคเพิล รวมถึงกับดาบแห่งโชคชะตา

เจ้าชายเคนดริคทรงรู้สึกประหลาดพระทัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วเมื่อหลายวันก่อนพวกเขาทั้งหมดถูกจับขังอยู่ในคุกภายใต้การกดขี่ของแอนโดรนิคัส ถูกบังคับให้ยอมรับกับความพ่ายแพ้ ธอร์ยังคงอยู่ในดินแดนจักรวรรดิ มีดาบแห่งโชคชะตาแต่อยู่ในความฝันที่ดับสูญ มันมีความหวังเพียงเล็กน้อยว่า พวกเขาจะกลับมา เจ้าชายเคนดริค และคนอื่นๆ ได้ถูกจับตรึงมัดกับไม้กางเขนและปล่อยทิ้งไว้ให้ตาย และนั่นดูเหมือนกับว่าพวกเขาได้พ่ายแพ้แล้ว

แต่ตอนนี้พวกเขาขี่ม้า เดินทางอย่างผู้มีอิสระเสรี ทั้งทหารและอัศวินรวมเป็นหนึ่งอีกครั้ง การมาของธอร์ทำให้พวกเขามีชีวิตชีวาขึ้นมาอีก ตอนนี้ พวกเขาได้เปรียบ ไมโคเพิลเป็นสิ่งล้ำค่าจากสวรรค์ที่พระเจ้าประทานให้ มันนำมาซึ่งการทำลายล้างที่ตกมาอย่างห่าฝนจากฟากฟ้า เมืองซิเลเซียในตอนนี้เป็นเมืองที่ถูกปลดปล่อยแล้วรวมไปถึงชนบท ด้านนอกของอาณาจักรวงแหวน ณ ที่ตรงนั้นที่เคยเป็นที่ตั้งแห่งกองทัพนักรบจักรวรรดิ มาถึงตอนนี้ ถนนที่มุ่งหน้าสู่ตะวันออกนั้นได้กลายเป็นถนนแห่งซากศพของพวกมัน ที่เรียงรายออกไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา

แม้เจ้าชายเคนดริคจะทรงรู้สึกมีกำลังใจจากสิ่งที่เห็น แต่พระองค์ทรงรับรู้ว่า อีกฟากหนึ่งของที่ราบสูงไฮแลนด์นั้น ยังมีทหารของแอนโดรนิคัส ราวครึ่งล้านนาย ตั้งแถวเรียงรายรอต้อนรับพวกเขาอยู่ กองทัพของเขาโจมตีพวกมันได้เพียงชั่วคราว แต่มันก็ยากที่จะกวาดล้างพวกมันได้ทั้งหมด และเจ้าชายเคนดริคกับพรรคพวกก็ไม่ได้พอใจที่ จะคอยนั่งรอ ให้กองทัพของพวแอนโดรนิคัส ในเมืองซิเลเซียมารวมตัวและโจมตีเขาเข้าอีกครั้ง หรืออีกอย่าง เขาก็ไม่ต้องการจะให้พวกนั้นมีโอกาสหลบหนีและล่าถอยกลับไปยังจักรวรรดิของมัน ในเมื่อโล่พลังได้กลับขึ้นมาอีกครั้งและตอนนี้กองทัพของเจ้าชายเคนดริค ก็มีจำนวนมากกว่าอีกด้วย อย่างน้อยๆ พระองค์ก็มีโอกาสที่จะต่อสู้มากกว่าเดิม ในตอนนี้กองทัพของแอนโดรนิคัสกำลังกระเจิดกระเจิงและเจ้าชายเคนดริคกับพรรคพวกก็ตัดสินใจแล้วว่าจะเดินหน้าสานต่องานที่ธอร์เป็นผู้เริ่มต้นนี้ให้ไปสู่ชัยชนะ

เจ้าชายเคนดริคทรงชำเลืองพระอังสาของพระองค์ ทอดพระเนตรไปด้านหลังยังกองพลทหารหลายพันนาย เหล่าทหารที่มีเสรีภาพร่วมขี่ม้าร่วมทัพกับพระองค์ ทรงเห็นความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าบนใบหน้าของพวกเขา พวกเขาทั้งหลายได้ลิ้มลองรสชาติของการเป็นทาส ได้ลิ้มรสของความปราชัย และตอนนี้พระองค์ทรงเห็นว่า พวกเขาเหล่านั้นได้รู้สึกถึงคุณค่าของการเป็นไทอีกครั้งหนึ่ง มันไม่ใช่การกระทำเพื่อตัวของพวกเขาเอง แต่เป็นการกระทำให้ภรรยาและครอบครัวของพวกเขาด้วย ทหารแต่ละนายและทุกๆนายรับรู้รสชาติแห่งความคมคืนถูกกระตุ้นให้กล้าหาญและพวกเขาจะทำให้พวกแอนโดรนิคัสต้องชดใช้และทำทุกวิธีทาง เพื่อให้แน่ใจว่าพวกนั้นจะไม่มาโจมตีเขาอีก นี่คือกองทัพของเหล่าทหารที่พร้อมจะสู้จนตัวตายและพวกเขาผงาดขึ้นมาได้อีกครั้ง ทุกที่ที่พวกเขาเดินทางผ่านไปจะมีการปลดปล่อยผู้คนให้เป็นไทมากขึ้น ปลดปล่อยพวกเขาจากพันธนาการและดึงดูดพวกเขาเข้ามาสู่กองทัพ ที่นับวันยิ่งเติบโตเพิ่มจำนวนทับทวี

ส่วนตัวเจ้าชายเคนดริคนั้น พระองค์ยังทรงค่อยๆฟื้นตัวจากการถูกจับตรึงกับไม้กางเขน พระวรกายของพระองค์ยังไม่ทรงแข็งแรงเหมือนดั่งที่เคย และมันยังคงมีความรู้สึกเจ็บปวดบริเวณข้อพระกรและข้อพระบาทจากการที่ถูกมัดด้วยเชือกหยาบกร้านที่ฝังลงไปในพระฉวีของพระองค์ ส่ทรงหันไปทอดพระเนตรที่สร็อก บรอม และแอ็ทมีที่ถูกจับตรึงไว้เคียงข้างกัน พระองค์ทรงเห็นว่า พวกเขาก็ไม่ได้แข็งแรงเหมือนอย่างที่เคย การตรึงอยู่กับไม้กางเขนนั่นเป็นการ ทำร้ายพวกเขาอย่างสาหัส แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็เดินทางขี่ม้าอย่างภาคภูมิและกล้าหาญ มันไม่มีอะไรเทียบเท่ากับการมีโอกาสได้ต่อสู้เพื่อชีวิต การมีโอกาสได้แก้แค้น และมันทำให้สามารถลืมความเจ็บปวดทั้งหลายไปได้

เจ้าชายเคนดริคทรงรู้สึกดีพระทัยที่พระอนุชาของพระองค์เจ้าชายรีสและกองทหารยุวชนได้กลับมาจากการฝึกฝน และได้ร่วมทางขี่ม้าร่วมทัพเคียงข้างกันอีกครั้ง พระองค์ทรงรู้สึกเหมือนถูกฉีกเป็นเสี่ยงๆ ที่ต้องเห็นพวกเขาถูกฆ่าฟันในเมืองซิเลเซีย การได้เห็นพวกเขาเหล่านั้นกลับมาบ้าน ถือเป็นการย้อนรำลึกถึงความอาลัยโศกศัลย์ของพระองค์ พระองค์และเจ้าชายรีสทรงมีความใกล้ชิดสนิทกัน พระองค์เติบโตขึ้นมาเพื่อปกป้องพระอนุชาและทำหน้าที่เสมือนเป็นพระบิดาองค์ที่สอง ในช่วงเวลาที่ราชาแมคกิลมีราชภาระมาก บางครั้งการเป็นพระเชษฐาที่ร่วมสายเลือดเพียงครึ่งหนึ่งทำให้เจ้าชายเคนดริค สามารถใกล้ชิดกับเจ้าชายรีสได้มากขึ้น เพราะมันไม่มีอะไรมากีดขวางความสนิทสนมของพวกเขา มันเหมือนไม่มีทางเลือก เจ้าชายเคนดริค ไม่เคยใกล้ชิดกับพระอนุชาอีกสองพระองค์ เจ้าชายก็อดฟรีย์ที่ทรงชอบใช้เวลาส่วนใหญ่กับพรรคพวก ได้ทรงแยกพระองค์ไปในโรงเหล้า และเจ้าชายกาเร็ธก็ยังคงเป็นเจ้าชายกาเร็ธ เจ้าชายรีสเป็นเพียงหนึ่งในพี่น้องร่วมสายโลหิตที่ได้เข้าร่วมในสมรภูมิด้วยกันพระองค์เป็นพระอนุชา ที่เจ้าชายเคนดริคได้ทรงเลือกแล้วที่จะอุทิศชีวิตให้และพระองค์ทรงภาคภูมิพระทัยในตัวน้องชายเป็นล้นพ้น

ในอดีตเมื่อเจ้าชายเคนดริคทรงเสด็จประพาสเดินทางกับเจ้าชายรีส พระองค์ทรงคอยห่วงใยปกป้องทรงทอดสายพระเนตรดูแลน้องมิห่างแต่เมื่อทรงเห็นการกลับมาของพระอนุชาว่า ทรงดำรงตนเป็นนักรบอย่างแท้จริง นักรบที่เข้มแข็งแล้ว พระองค์จึงไม่ต้องคอยระแวดระวังภัยให้พระอนุชาอีกต่อไป ทรงสงสัยเหลือเกินว่า เจ้าชายรีสจะต้องประสบกับความยากลำบากตรากตรำเพียงใด เมื่อครั้งทรงอยู่ในอาณาจักรจักรวรรดิ นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่ทำให้พระอนุชาเข้มแข็งและมีความชำนิชำนาญในการรบ พระองค์ทรงคาดหวังที่จะนั่งคุยกับพระอนุชาและฟังเรื่องราวต่างๆของเขา

เจ้าชายแคนรู้สึกดีพระทัยที่ธอร์กลับมาด้วยไม่ใช่เพียงเพราะว่า ธอร์ได้ปลดปล่อยพวกเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะเขามีความชอบและเคารพในตัวธอร์อย่างมากมายและเป็นห่วงเขาราวกับว่าเขาเป็นน้องชายอีกคนหนึ่ง เจ้าชายเคนดริคย้อนรำลึกถึงภาพของธอร์ ถึงการกลับมาของธอร์และการถือดาบนั่น พระองค์ไม่สามารถลบเลือนมันไปได้ มันเป็นภาพจินตนาการที่พระองค์ไม่เคยคาดคิดที่จะประจักษ์เลยในชีวิตนี้ จริงๆแล้ว พระองค์ไม่เคยคาดหวังว่าจะเห็นใครในโลกสามารถใช้ดาบแห่งโชคชะตาได้แบบนี้ ไม่น่าจะเป็นธอร์คนที่เคยเป็นเด็กรับใช้ ผู้ที่ตัวเล็กและมีความถ่อมตน เด็กจากหมู่บ้านที่ทำไร่นาที่อยู่ริมขอบด้านนอกของอาณาจักรวงแหวน เขาเป็นบุคคลภายนอก ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์แมคกิลเลย

ทำไมถึงเป็นเขา?

เจ้าชายเคนดริคทรงรู้สึกประหลาดพระทัย พระองค์ทรงมีความคิดวนเวียนเรื่องเกี่ยวกับตำนานที่ว่า สายเลือดแห่งราชวงศ์แมคกิลเท่านั้นที่สามารถยกดาบขึ้นได้ ลึกลงไปในพระหฤทัยแล้ว เจ้าชายเคนดริคต้องทำพระทัยยอมรับที่พระองค์ทรงหวังว่า พระองค์จะเป็นคนที่ยกดาบนั้นขึ้นเอง ทรงมีความหวังว่ามันจะเป็นตราประทับความชอบธรรมอันสูงสุดว่า พระองค์คือแม็คกิลที่แท้จริง เป็นพระราชาโอรสองค์โต พระองค์มีความฝันอย่างนั้นเสมอมา ว่าในวันหนึ่ง เหตุการณ์จะนำพาให้พระองค์ได้ลองยกมันขึ้น

แต่พระองค์ไม่เคยได้รับโอกาสนั้นเลย และก็ มิได้ทรงอิจฉาธอร์กับความสำเร็จของเขาเจ้าชายเคนดริค ไม่ได้มีความอยากได้ใคร่มี ในทางตรงกันข้าม พระองค์ทรงพิศวงกับโชคชะตาของธอร์ พระองค์ไม่เข้าใจมันเลย หรือตำนานจะเป็นเรื่องไม่จริง? หรือว่าธอร์เป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์แม็คกิล? มันจะเป็นไปได้อย่างไร? มิเช่นนั้น ธอร์ก็จะเป็นลูกชายของพระราชาแม็คกิลด้วย เจ้าชายเคนดริค ทรงสงสัยในข้อนี้ พระบิดาได้เคยหลับนอนกับผู้หญิงมากมายที่มิได้อภิเษกสมรสด้วย ซึ่งนั่นเองก็ทำให้ตัวของเขากลายเป็นหนึ่งในราชวงศ์

หรือว่านั่นคือเหตุผลที่ธอร์รีบออกจากเมืองซิเลเซีย? หลังจากที่สนทนากับพระมารดาของเขา เขาคุยอะไรกันบ้าง? พระมารดาของเขาจะไม่ตรัสอะไร มันเป็นครั้งแรกที่นางเก็บความลับกับเขาและเก็บมันไว้จากพวกเขาทั้งหมดทำไม รอจนถึงตอนนี้ความลับอะไรที่พระนางเก็บงำเอาไว้ อะไรหรือที่พระนางตรัสออกมา จนทำให้ธอร์ต้องเร่งรุด ออกไปแบบนั้น ทิ้งพวกเขาไว้โดยไม่กล่าวอะไรเลยสักคำ?

มันทำให้เจ้าชายเคนดริค นึกถึงพระบิดาของพระองค์ และเชื้อสายของราชวงศ์ ยิ่งพระองค์ปรารถนามันมากเท่าไหร่ พระองค์ก็ยิ่งเหมือนถูกแผดเผากับความคิดที่ว่า ตนเองเป็นลูกนอกกฎหมายและทรงสงสัยเป็นครั้งที่ล้านแล้วว่า ใครคือแม่ของพระองค์ที่แท้จริง พระองค์เคยได้ยินข่าวลือมากมายเกี่ยวกับชีวิตของตน หรือพวกผู้หญิงที่พระบิดาพระราชาแม็คกิลเคยร่วมหลับนอนด้วย แต่พระองค์มิทรงทราบอย่างแน่ชัด เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วเหมือนที่เคยเป็นมา เมื่ออาณาจักรวงแหวนกลับเข้าสู่ความปกติ เจ้าชายเคนดริค จะตัดสินใจที่จะตามหามารดาของพระองค์อย่างแน่นอน จะเข้าเผชิญหน้ากับเธอและตั้งคำถามเธอว่าทำไม เธอถึงปล่อยเขาไปทำไม เธอถึงไม่เคยมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา จะถามว่านางเจอพระบิดาได้อย่างไร พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะพบกับเธอเพื่อเห็นหน้าของเธอ เพื่อเห็นว่าเธอหน้าตาเหมือนพระองค์และอยากให้เธอบอกกับพระองค์ว่าจริงๆ แล้วพระองค์เป็นบุตรที่ถูกต้องตามกฏหมาย ถูกต้องเหมือนกับคนอื่นๆ

เจ้าชายเคนดริคทรงพอพระทัยที่ธอร์ได้ออกไปตามราชินีเกว็นกลับมา ถึงกระนั้น อีกห้วงแห่งความนึกคิด พระองค์ยังทรงหวังพระทัยว่าธอร์จะเลือกที่จะอยู่ เพื่อเข้าต่อสู้ร่วมกัน เพื่อมีกองกำลังที่เหนือกว่ากองทัพของแอนโดรนิคัสเรือนหมื่นนาย เจ้าชายเคนดริคทรงหวังว่าจะเห็นธอร์และไมโครเพิลในตอนนี้มากกว่าที่เคยเป็นมา

แต่เจ้าชายเคนดริคทรงประสูติและเจริญพระชนม์มาอย่างชาตินักรบ พระองค์ไม่เคยทรงรีรอ มัวรอคอยคนอื่นที่จะมาต่อสู้ในสมรภูมิเพื่อพระองค์ หากแต่พระองค์ทรงปล่อยให้สัญชาตญาณนำทาง ทรงม้านำออกมาและทรงเอาชนะพวกจักรวรรดิให้มากที่สุดเท่าที่พระองค์จะทำได้ พร้อมกับกองกำลังที่พระองค์ทรงมี แม้พระองค์จะไม่มีอาวุธพิเศษอย่างไมโคเพิลหรือดาบแห่งโชคชะตา แต่พระองค์ทรงมีสองพระหัตถ์เหมือนกับที่เคยมีมาจากครั้นเยาว์วัย และนั่นมันก็เพียงพอแล้ว

พวกเขาขึ้นไปบนเนินและเมื่อขึ้นไปถึงยอดของมัน เจ้าชายเคนทอดพระเนตรออกไปยังขอบฟ้าและทรงเห็นเมืองลูเซียซึ่งเป็นของแม็คกิลที่มีขนาดเล็ก มันเป็นเมืองแรกที่อยู่ทางตะวันออกของเมืองซิเลเซีย ซากศพของพวกจักรวรรดิเรียงรายบนพื้นถนนแล้วเห็นได้ชัดว่าคลื่นแห่งการทำลายล้าง จบลงที่นี่ด้วยฝีมือของทงจากระยะไกลของขอบฟ้านั่น เจ้าชายเคนสามารถเห็นกองทหารของแอนโดรนิคัสล่าถอยออกไปทางตะวันออก พระองค์เชื่อว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้ากลับสู่ค่ายพักหลักของแอนโดรนิคัส เพื่อความปลอดภัยจากอีกฝั่งของที่ราบสูงไฮแลนด์ ส่วนหลักของกองทัพได้ล่าถอยลง แต่พวกเขาก็ยังทิ้งกองทหารเล็กๆ เอาไว้และยังสามารถมองเห็นประชาชนของที่นี่ที่ตกเป็นทาสของพวกทหาร

เจ้าชายเคนดริคทรงจดจำได้ว่าเกิดอะไรกับพวกเขาที่ในเมืองซิเลเซียได้ว่า พวกนั้นปฏิบัติค่อพวกเขาอย่างไร พระพักตร์ของพระองค์กลายเป็นสีแดงขึ้นด้วยความปรารถนาที่จะแก้แค้น

"จู่โจม!" เจ้าชายเคนดริคทรงตะโกนร้อง

พระองค์ยกดาบขึ้นสูงและด้านหลังก็ตามมาด้วยเหล่าทหารหลายพันชีวิตที่กู่ร้องออกมาอย่างเข้มแข็ง

เจ้าชายเคนดริคทรงเตะม้าของพระองค์ และพวกเขาก็เร่งลงไปยังเนินเขาที่มุ่งหน้าสู่เมืองลูเซีย กองทัพทั้งสองได้เตรียมตัวเข้าเผชิญหน้ากัน ถึงแม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะดูเหมาะสมในแง่ของจำนวนของนักรบ แต่มันเทียบกันไม่ได้ เจ้าชายเคนดริคทรงทราบดี เทียบไม่ได้ในเรื่องหัวใจ พวกกองกำลังของแอนโดรนิคัสที่เหลืออยู่เป็นพวกที่รุกรานซึ่งกำลังถอยหนี ขณะที่ทหารของเจ้าชายเคนดริคมีความพร้อมที่จะสู้เพื่อชีวิต เพื่อปกป้องดินแดนบ้านเกิด

เสียงร้องสัญญาณการรบดังขึ้นสู่สรวงสวรรค์ เมื่อพวกเขาจู่โจมเข้ามายังประตูเมืองของลูเซีย พวกเขาเข้ามาอย่างรวดเร็วมีทหารราวเจ็ดโหลของจักรวรรดิที่ยืนอารักษ์ขาอยู่ตรงนั้น พวกนั้นหันมามองกันและกันอย่างสับสน เห็นได้ชัดว่า พวกเขาไม่ได้คาดคิดถึงการจู่โจมแบบนี้ ทหารของจักรวรรดิหันมาแล้ววิ่งเข้าไปในประตูเมืองแล้ว เขาหมุนข้อเหวี่ยงของซุ้มประตูเหล็กลงอย่างแรง

แต่มันก็ยังไม่เร็วพอ พลธนูของเจ้าชายเคนดริคหลายคนได้มุ่งหน้าไปก่อน ยิงลูกธนูและสังหารพวกเขา หัวธนูได้ลงอย่างแม่นยำตรงกลางอกและด้านหลัง หาจุดลงตรงช่วงรอยต่อของเสื้อเกราะ เจ้าชายเคนดริคทรงขว้างหอกเช่นเดียวกันกับเจ้าชายรีซซึ่งอยู่เคียงข้างพระองค์ เจ้าชายเคนดริคทรงพบว่าเป้าหมายของพระองค์คือ นักรบร่างใหญ่ และทรงประทับใจที่เห็นหอกของเจ้าชายรีสที่ปล่อยออกไปอย่างไร้ความพยายามได้ลงสู่กลางหัวใจของนายทหาร ประตูเมืองยังคงเปิดอยู่และเจ้าชายเคนดริคกับทหารก็ไม่ลังเลที่จะตะโกนร้องสัญญาณการรบและเข้าโจมตี ตั้งเป้าเข้าไปให้ถึงกลางใจเมือง และไม่หยุดที่ต่อกรกับการเข้ามาปะทะ

เสียงกระทบของ โลหะดังแกร๊ง ขณะที่เจ้าชายเคนดริคและพรรคพวกได้ยกดาบ ขวาน หอกและง้าวขึ้น สู้กับทหารแห่งจักรวรรดิหลายพันนายผู้ที่เร่งเข้ามาทักทายพวกเขาบนหลังม้า ในตอนแรกของการปะทะ เจ้าชายเคนดริคได้ยกโล่ เพื่อป้องกันการถูกฟันตี ในขณะเดียวกันก็ทรงแกว่งไกวดาบ และฆ่าทหารได้สองนาย โดยไม่ต้องลังเล และพระองค์หมุนวนไปรอบๆ และป้องกันดาบที่ตีลงมา จากนั้นจึงผลักดาบออกไปเข้าสู่ใส้ในของทหารจักรวรรดิ เมื่อพวกทหารตายเจ้าชายเคนดริคทรงคิดถึงการแก้แค้นทรงคิดถึงพระนางเกว็นโดลีนและประชาชนที่ต้องทนทุกข์ทรมานของอาณาจักรวงแหวน

เจ้าชายรีสที่อยู่ด้านข้างของพระองค์ ก็ทรงเหวี่ยงคฑาออกไป แล้วอัดเข้าที่หัวของทหารนายหนึ่ง ทำให้เขาตกลงจากหลังม้า จากนั้นจึงยกโล่ขึ้นป้องกันการโจมตีจากด้านข้าง พระองค์ทรงเหวี่ยงคฑาออกไปรอบๆ แล้วจึงพุ่งเข้าโจมตี โดยมีเอลเด็นอยู่ข้างพระองค์ เขาเร่งไปข้างหน้าด้วยขวานอันใหญ่และจัดการทหารที่หมายจะปะทะกับเจ้าชายรีสคว่ำลงมาได้ เขาตัดผ่านโล่และเข้าไปยังหน้าอกของทหารนั่น

โอคอนเนอร์ยิงธนูได้แม่นยำถึงแก่ความตาย แม้ว่าระยะจะอยู่ใกล้มากก็ตามขณะที่คอนเวนก็โยนตัวเองลงไปในสมรภูมิและต่อสู้อย่างบ้าคลั่งกระโจนเข้าไปหาเหล่าทหารทั้งหลายซึ่งเขาไม่ได้ จะใส่ใจยกโล่ขึ้นป้องกันตัว เขาเหวี่ยงดาบสองด้ามออกไป หันตัวเองมุ่งสู่กลุ่มทหารจักรวรรดิที่หนาแน่นราวกับว่า เขาต้องการจะไปตาย แต่ด้วยความน่าประหลาดใจที่เขาไม่ตาย ตรงกันข้าม เขาจัดการสังหาร ทหารอีกฝ่ายทั้งด้านซ้ายและขวา

อินดราก็ตามมาอยู่ไม่ไกลนักเธอไม่มีความกลัวใดๆ มากไปกว่าผู้ชายส่วนมาก เธอใช้ดาบสั้นด้วยทักษะอันเชี่ยวชาญและฝีมืออันเยี่ยมยอด ตัดเข้าไปเหมือนแร่เนื้อปลา ผ่านเข้าไปยังแถวของทหาร แทงเข้ายังลำคอของพวกจักรวรรดิ ในขณะนั้นเอง เธอคิดถึงบ้านเกิดของตัวเองและประชาชนของเธอที่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ภายใต้อำนาจพวกจักรวรรดิมากขนาดไหน

ทหารจักรวรรดิใช้ขวานของเขาใส่ลงมายังพระเศียรเจ้าชายเคนดริค ก่อนที่พระองค์จะหลบมันได้ พระองค์ทรงทำพระทัยกล้าเตรียมตัวรับการเข้าฟันนั้น แต่พระองค์ทรงได้ยิน เสียงกระแทกของโลหะดังสนั่นและทอดพระเนตรเห็นพระสหายของพระองค์ แอ็ทมีอยู่เคียงข้างพระองค์ เขาหยุดการเข้าฟันนั้นด้วยโล่ของเขา แอ็ทมีแทงหอกของเขาเข้าไปยังทหารที่เขาโจมตีในช่องท้อง เจ้าชายเคนดริครู้สึกเป็นหนี้ชีวิตของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง

ขณะที่ทหารอีกคนนึงจู่โจมเข้ามาด้วยคันธนูและลูกศรที่ตั้งเป้าเอาไว้กับแอ็ทมี เจ้าชายเคนดริคทรงรี่เข้าไปด้านหน้าและฟันด้วยดาบของพระองค์ไปยังคันธนู ฟันมันขึ้นสูงสู่อากาศ ตัวลูกศรก็ถูกยิงไปอย่างไร้จุดหมายอยู่เหนือหัวของแอ็ทมี จากนั้น เจ้าชายเคนดริคก็ต่อสู้กับทหารอยู่บนสะพานด้วยการใช้ดาบ พระองค์ทรงล้มเขาลงจากม้า และเขากระทืบเขาจนถึงแก่ความตาย ตอนนี้พวกเขาเสมอกันแล้ว

และเมื่อสมรภูมิยังคงเดินหน้าต่อไป แต่ละกองทัพก็ยังคงสู้ฟันและนายทหารแต่ละฝ่ายก็ต่างสูญเสีย แต่การสูญเสียของจักรวรรดิมีมากกว่า เมื่อทหารของเจ้าชายเคนดริคต่อสู้ด้วยความเดือดดาล แล้วก็อัดตัวกันเข้าไปอย่างในเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด พวกเขาก็กวาดล้างพวกมันไปอย่างกับกระแสน้ำ ทหารจักรวรรดิเป็นนักรบที่แข็งแกร่ง แต่พวกเขาเป็นพวกที่รู้จักแต่การเข้าจู่โจมและไม่รู้จักระมัดระวังตัวตั้งรับ เพียงไม่นาน พวกเขาก็ไม่สามารถจะป้องกันการโจมตีของเจ้าชายเคนดริคได้แล้ว มันก็ทำให้จำนวนของพวกเขาลดลงอย่างมาก

หลังจากการสู้รบอย่างดุเดือดร่วมชั่วโมง การสูญเสียของทหารจักรวรรดิก็เริ่มเข้าสู่การล่าถอย บางคนจากฝั่งนั้นได้เป่าสัญญาณแตรและพวกเขาก็เริ่มหันหนีและควบม้าออกไปออกไปจากเมืองนั้นทีละคนๆ

ด้วยเสียงร้องตะโกนที่ดังยิ่งกว่าเดิม เจ้าชายเคนดริคและทหารของเขาก็เร่งรุดตามพวกเขาไป ไล่ล่าจนพวกเขาออกไปจากเมืองลูเซีย ตามพวกเขาจนออกไปจากนอกประตูเมือง

พวกที่ยังหลงเหลืออยู่ในกองทัพของจักรวรรดิยังมีจำนวนอยู่หลายร้อยคน พวกเขาขี่ม้าออกไปอย่างไม่คิดชีวิต ในช่วงชุลมุนนี้ พวกเขาแย่งกันออกไป ไปยังเส้นขอบฟ้า มีเสียงดังมาจากชาวลูเซียที่ได้รับการปลดปล่อย เจ้าชายเคนดริคได้ฟันเชือกของเขาและปลดปล่อย พวกเขาไปและพวกนักโทษไม่ยอมสูญเสียเวลา พวกเขาขี่ม้าไล่ตามทหารจักรวรรดิ โดยเลือกม้าและไปดึงอาวุธมาจากซากศพและเข้าร่วมกับกองทหารของเจ้าชายเคนดริค

กองทัพเจ้าชายเคนดริคได้มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่า มีจำนวนหลายพันคน พวกเขาไล่ล่าทหารของจักรวรรดิที่วิ่งขึ้นและลงภูเขา เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ โอคอนเนอร์และคนอื่นๆ ที่เป็นมือธนูก็จัดการสังหารพวกเขา โดยมีร่างของพวกเขาตกลงมาจากหลายทิศทาง

การไล่ล่ายังคงมีต่อไป เจ้าชายเคนดริคทรงสงสัยว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปที่ใด เมื่อพระองค์และทหารได้ขึ้นไปยอดที่สูงที่สุดและทรงทอดพระเนตรลงมา เห็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแม็คกิลทางฝั่งตะวันออกของลูซี่ ที่ทำมาจาก ติดกำแพงหินหนาและมีประตูเหล็กกั้นเอาไว้ที่นั่นที่เจ้าชายเคนดริคทรงตระหนักได้ว่า ทหารที่เหลือของจักรวรรดิได้หนีเขาไปและในเมืองนั้นก็ยังมีทหารของจักรวรรดิอยู่อีกหลายหมื่นนาย

เจ้าชายเคนดริคทรงหยุดทหารของพระองค์อยู่ด้านบนสุดของเนินเขาและทรงทอดพระเนตรลงไปในเหตุการณ์นั้นเมืองวีนีเซียเป็นเมืองหลักและพวกเขาก็มีจำนวนมากกว่าพระองค์ พระองค์ทรงทราบว่ามันเป็นเรื่องที่บ้าระห่ำที่จะลองทำเช่นนั้น แต่ว่า เรื่องที่ปลอดภัยตอนนี้ น่าจะเป็นการกลับไปยังเมืองซิเลเซีย และรู้สึกซาบซึ้งสำหรับชัยชนะที่นี่ในวันนี้

แต่เจ้าชายเคนดริคไม่ได้อยู่ในพระอารมณ์ที่จะเลือกความปลอดภัยให้ตัวเองหรือให้พลทหารของพระองค์ พวกเขาต้องการเลือด พวกเขาต้องการแก้แค้นและในวันแบบวันนี้มันไม่มีอะไรสำคัญอีกแล้ว มันเป็นเวลาที่จะให้พวกทหารจักรวรรดิได้รู้ว่าพวกแม็คกิลทำมาจากอะไร

“เข้าจู่โจม!” เจ้าชายเคนดริคร้องตะโกน

เมื่อพระเสียงสุรเสียงดังขึ้น ทหารหลายพันนายก็เร่งรุดเข้ามาเข้าโจมตีอย่างบ้าระห่ำอยู่ที่เนินเขาด้านล่าง มุ่งหน้าไปยังเมืองใหญ่ที่มีจำนวนศัตรูมากกว่าเตรียมตัวที่จะเสียสละชีพและเสี่ยงอันตรายเพื่อเกียรติยศและความกล้าหาญ




บทที่ สี่


เจ้าชายกาเร็ธทรงพระกาสะและลมหายใจมีเสียงดังฮืดฮาด พระองค์เสด็จไปในภูมิประเทศที่รกร้างว่างเปล่า พระโอษฐ์ของพระองค์แห้งและแตกจากการขาดน้ำ และดวงพระเนตรลึกเป็นโพรงและมีสีดำโดยรอบ มันเป็นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากที่ในหลายๆ ครั้ง พระองค์ทรงคาดการณ์ว่าอาจจะต้องสวรรคต

เจ้าชายกาเร็ธทรงหลบหนีจากกองทหารของแอนโดรนิคัสในเมืองซิเลเซียมาได้ จากการหลบซ่อนอยู่ในช่องที่อยู่ลึกเข้าไปในกำแพงและทรงรอคอยช่วงเวลาเพื่อหลบหนี ในระหว่างที่ทรงรอนั้น ทรงขดงอพระวรกายเหมือนกับหนูที่อยู่ในความมืดมิด รอคอยโอกาสที่เหมาะสม พระองค์ทรงประทับอยู่ในนั้นหลายวันและทอดพระเนตรเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ไม่อยากจะเชื่อ เมื่อทรงเห็นว่าธอร์มาถึงโดยการขี่หลังของมังกรนั่นและได้ฆ่าฟันทหารจักรวรรดิโดยหมดสิ้น ในช่วงแห่งความสับสนวุ่นวายนั้นทำให้พระองค์ทรงเล็งเห็นโอกาสแห่งการหลบหนี

เจ้าชายกาเร็ธทรงดำเนินหลบเลี่ยง ทรงผ่านไปทางประตูด้านหลังของเมืองซิเลเซียในขณะที่ไม่มีใครมองเห็น และทรงดำเนินไปตามถนนที่มุ่งหน้าลงใต้ เสด็จผ่านริมขอบของหุบเขาลึก ทรงพยายามที่จะดำเนินในป่าเพื่อจะได้ไม่เป็นที่สังเกต มันไม่มีความสำคัญที่ถนนจะถูกทิ้งให้รกร้างว่างเปล่าเพราะทุกคนมุ่งหน้าไปทางตะวันออก เพื่อไปสู้รบกับกองทัพของอาณาจักรวงแหวนเมื่อ มีทรงดำเนินไปในทางนั้น พระองค์ทอดพระเนตรเห็นซากศพของหมู่ทหารจากแอนโดรนิคัส นอนเรียงรายไปตามทาง และทรงรับทราบว่าการต่อสู้ที่ผ่านลงใต้นั้นได้เกิดการปะทะเสร็จสิ้นไปแล้ว

เจ้าชายกาเร็ธทรงมุ่งหน้าลงทางใต้ให้ได้ระยะทางไกลกว่าเดิม สัญชาตญาณด้านในบอกให้พระองค์เสร็จไปจนถึงราชสำนัก เพื่อค้นพบว่ายังมีอะไรหลงเหลืออยู่บ้าง ทรงรับทราบถึงการแก้แค้นของทหารจากแอนโดรนิคัส มันเหมือนเป็นซากแห่งความพินาศ แต่กระนั้น พระองค์ยังทรงต้องการจะเสด็จไปที่นั่น ทรงต้องการไปให้ไกลจากพวกซิและต้องการเสด็จไปในสถานที่ที่พระองค์รู้จักและจะประทับได้อย่างปลอดภัย มันเป็นสถานที่ที่ทุกคนละทิ้งไป เป็นสถานที่ที่ครั้งหนึ่งทรงขึ้นครองราชย์ และมีอำนาจสูงที่สุดเหนือผู้ใด

จากการเดินทางในป่าอยู่หลายวัน เจ้าชายกาเร็ธที่รู้สึกทั้งอ่อนเพลียและขาดสติจากความหิวโหย ในที่สุดพระองค์ก็เสด็จออกมาจากป่าและทอดพระเนตรเห็นราชสำนักในระยะไกล มันยังคงตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่น กำแพงของมันยังดูแข็งแรง อย่างน้อยๆ ก็ยังคงมีบางส่วนที่เป็นเช่นนั้นอยู่ แม้ว่ามันจะถูกเผาและได้แตกเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อย รอบๆ บริเวณนั้นมีซากศพของทหารแอนโดรนิคัสเรียงรายอยู่ มันเป็นหลักฐานว่าธอร์ได้เคยมาที่นี่ มิเช่นนั้น มันก็จะตั้งอยู่อย่างว่างเปล่า ไม่มีอะไรเหลือ นอกจากเสียงเป่าหวิวของสายลมที่พัดมา

นั่นเป็นการทำให้เจ้าชายกาเร็ตสมพระประสงค์ พระองค์มิได้ทรงวางแผนที่จะเข้าไปในเมือง ทรงเสด็จมายังสิ่งก่อสร้างที่ยากแก่การพบเห็น มันมีขนาดเล็กและอยู่ด้านนอกของกำแพงเมือง มันเป็นสถานที่ที่พระองค์เสด็จมาบ่อยๆ เมื่อครั้งยังเยาว์วัย มันเป็นโครงสร้างทำจากหินอ่อนและมีทรงกลม มันยกตัวเหลือพื้นดินเพียงไม่กี่ฟุตประดับประดาไปด้วยรูปปั้นแกะสลักอย่างปราณีด้านบนหลังคา มันดูเหมือนกับเป็นสิ่งเก่าแก่ที่อยู่ต่ำๆ ที่โผล่ตัวขึ้นมาเหนือพื้นผิวโลก มันเป็นห้องใต้ดินของพวกราชวงศ์แม็คกิล สถานที่ที่พระราชบิดาเคยถูกฝังและพระราชบิดาองค์ก่อนหน้า

ห้องใต้ดินเป็นสถานที่ที่พระองค์ทรงทราบว่าจะไม่ได้รับความเสียหาย จากเหตุการณ์ทั้งหมดนั่น ใครจะมาสนใจเข้าโจมตีสุสานพระราชวงศ์กันเล่า? มันเป็นสถานที่เดียวที่พระองค์ทรงทราบว่าจะไม่มีใครมาตามหาพระองค์ เป็นสถานที่พระองค์สามารถใช้หลบซ่อนและจะถูกทิ้งไว้อย่างลำพังอย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ เป็นสถานที่ที่พระองค์ประทับอยู่กับบรรพบุรุษ ยิ่งพระองค์ทรงเกลียดพระบิดามากเท่าไหร่ มันน่าแปลกมากที่พระองค์ทรงพบว่า ทรงมีความต้องการอยู่ใกล้กับพระบิดามากเหลือเกินในช่วงนี้

เจ้าชายกาเร็ธทรงเร่งเสด็จไปในทุ่งที่เปิดโล่ง ท่ามกลางสายลมพัดแรงและหนาวเหน็บ มันทำให้พระองค์ตัวสั่นและทรงดึงฉลองพระองค์คลุมที่ขาดรุ่งริ่งพันรอบพระอังสา รอบวรกายอย่างแน่นหนาพระองค์ทรงได้ยิน เสียงของนกแห่งฤดูหนาวกรีดร้องโหยหวน ทรงทอดพระเนตรเห็นเจ้าสัตว์น่าเกลียดน่ากลัว ลำตัวสีดำ มันบินวนไปมาอยู่เหนือพระเกศา มันร้องเรียกและรอคอยช่วงเวลาที่พระองค์ล้มพระวรกายลงเป็นอาหารมื้อต่อไปของมัน เจ้าชายกาเร็ธมิได้ทรงตำหนิมัน พระองค์ทรงรู้สึกว่าพระชงฆ์ของพระองค์ ท้ายที่สุดแล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นอาหารลำดับต้นๆ สำหรับเจ้านกนั่น

ในที่สุดเจ้าชายกาเร็ธก็ส่งมาถึงที่นั่น พระองค์ทรงคว้าที่จะของประตูเหล็กขนาดใหญ่ด้วยพระหัตถ์ทั้งสองข้าง และส่งกระชากมันอย่างสุดแรง โลกทั้งใบหมุนวน ทรงรู้สึกคลั่งควบคุมอารมณ์ไม่อยู่จากความเหนื่อยอ่อนสิ้นสภาพ ประตูส่งเสียงดังเอี๊ยดและพระองค์ทรงใช้กำลังทั้งหมดที่มีเพื่องัดมันให้เปิดกว้าง

เจ้าชายกาเร็ธส่งรีบเข้าไปในความมืดมิดปิดกระแทกประตูเหล็กเสียงดัง มันส่งเสียงสะท้อนอยู่ด้านหลังพระองค์

พระองค์ทรงคว้าคบเพลิงที่ยังไม่ได้จุดบนกำแพงที่ทรงทราบตำแหน่งของมัน ทรงใช้หินไฟขึ้นบนจุดผ้าของคบ ทรงพยายามจุดไฟขึ้นเพื่อจะทอดพระเนตรทางเดินที่ลึกเข้าไปในความมืดมิด ยิ่งเสด็จเข้าไปลึกมากขึ้นเท่าใด มันก็เยือกเย็นขึ้นเท่านั้น สายลมพัดผ่านมาตามช่องรอยแต่ส่งเสียงหวีดหวิว พระองค์ทรงคิดอะไรไม่ได้นอกจาก ทรงรู้สึกว่าเราบรรพบุรุษของพระองค์กำลังส่งเสียงโหยหวนร้องเรียกพระองค์อยู่ กำลังประณามพระองค์อยู่

"ปล่อยข้าไป" พระองค์ทรงตะโกนร้องกลับไป

พระสุรเสียงดังก้องอีกหลายครากระทบกับกำแพงของสุสานหลวง

"พวกท่านต้องได้รับตอบแทนอย่างสาสม!"

แต่แล้วเสียงลมก็ยังคงโหยหวนอยู่อย่างนั้น

เจ้าชายกาเร็ธทรงรู้สึกโมโหเดือดดาลและเคลื่อนพระวรกายเข้าไปลึกขึ้น จนพระองค์เสด็จมาถึงยังห้องโถงใหญ่ที่ทำจากหินอ่อนที่มีการเพดานมีการจุดขึ้นสูงราวสิบฟุต มันเป็นสถานที่ซึ่งโลงหินอ่อนของบรรพบุรุษเรียงรายกันอยู่ เจ้าชายกาเร็ธทรงดำเนินไปในห้องโถงอย่างเคร่งขรึม ฝีพระบาทดังก้องในห้องหินอ่อน มีพระดำเนินไปจนสุดทางจนถึงบริเวณโลงหินที่ประทับของพระบิดา

หากเป็นเจ้าชายกาเร็ธพระองค์ก่อนก็คงจะทรงทำลายโลงพระศพของพระบิดาเป็นแน่ แต่ในขณะนี้ มีเหตุผลบางอย่างที่พระองค์เริ่มรู้สึกใกล้ชิดกับพระบิดา พระองค์มิอาจทรงเข้าพระทัยมันได้ บางทีมันอาจจะเป็นฤทธิ์ของฝิ่นที่เริ่มคลายตัวออก หรือบางทีเป็นเพราะพระองค์ทรงทราบว่า พระองค์ก็คงจะสิ้นพระชนม์เร็วๆนี้

เจ้าชายกาเร็ธทรงเสด็จมาถึงที่บริเวณของโลงหินโบราณที่สง่างามและทรงลดพระเศียร ทรงโค้งคำนับให้พระองค์ และทรงประหลาดพระทัยที่พบว่าตัวเองเริ่มจะกรรแสง

"ข้าคิดถึงท่าน พระบิดา" เจ้าชายกาเร็ธทรงคร่ำครวญกรรแสงออกมา พระสุรเสียงดังก้องกังวานไปกับความว่างเปล่า

พระองค์มีพระกรรแสง น้ำพระเนตรหลั่งไหลพรั่งพรูเต็มพระพักตร์ จนในที่สุด พระชานุของพระองค์ก็อ่อนแรง และทรงล้มพระวรกายลงด้วยความเหนื่อยอ่อนอยู่ด้านข้างหินอ่อน ทรงนั่งลงกับพื้นและพิงพระวรกายกับโลงหิน เสียงลมโหยหวนมาราวกับเป็นการตอบรับ เจ้าชายกาเร็ธก็ลดระดับคบเพลิงลง เมื่อพระองค์วางมันลง แสงไฟเริ่มลดลงและเข้าสู่ความมืด พระองค์ทรงทราบว่า ในไม่ช้า มันก็จะเข้าสู่ความมืดมิด และนั่นเอง ในไม่ช้า พระองค์ก็จะทรงเข้าร่วมกับบรรดาบรรพชนที่พระองค์ทรงรักมากที่สุด




บทที่ ห้า


สเตฟเฟนเดินช้าๆ อย่างเศร้าสร้อยไปตามทางเดินในป่าอย่างลำพัง เขาเดินอย่างช้าๆ จากหอคอยหลีกลี้ หัวใจของเขาแตกสลายที่ต้องทิ้งพระนางเกว็นอยู่ที่นั่นแบบนั้น พระนางคือผู้หญิงที่ตัวเขาปฏิญาณตนเพื่อปกป้อง เมื่อไม่มีพระองค์แล้ว เขาก็เหมือนสิ่งไร้ค่านับตั้งแต่ได้พบเจอกับพระองค์เขารู้สึกว่า ในที่สุดเขาก็ค้นพบความหมายของการมีชีวิต เพื่อที่จะเฝ้าระวังพระองค์ เพื่ออุทิศชีวิตของเขา เพื่อชดใช้ให้กับพระองค์ที่ทรงอนุญาตให้เขาที่เป็นคนใช้ระดับต่ำได้เลื่อนขั้นขึ้นมา และเหนือสิ่งอื่นใดคือการที่พระองค์เป็นบุคคลแรกในชีวิตของเขา ที่ไม่รังเกียจและดูถูกเหยียดหยามเขาจากรูปร่างหน้าตา

สเตฟเฟนรู้สึกถึงความภาคภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือพระองค์ให้มาถึงยังหอคอยอย่างปลอดภัย การที่ทิ้งพระองค์ไว้ที่นั่นทำให้เขารู้สึกกลวงอยู่ด้านใน เขาจะไปที่ไหนในตอนนี้? แล้วเขาจะทำอะไร?

เมื่อไม่มีพระองค์ให้ปกป้องชีวิตของเขาก็เหมือนไร้จุดหมายอีกครั้ง เขาไม่สามารถกลับไปที่ราชสำนักหรือที่เมืองซิเลเซียแอนโดรนิคัสได้พ่ายแพ้ไปทั้งสองเมือง เขาหวนนึกถึงการทำลายล้างในขณะที่เขาหนีออกมาจากเมืองซิเลเซียครั้งสุดท้ายที่เขาจำได้คือผู้คนของเขาถูกจับและกลายไปเป็นทาส มันไม่มี ข้อดีอะไรให้กลับไป นอกจากนี้สเตฟเฟน ไม่ต้องการจากข้ามเขตของอาณาจักรวงแหวนอีกครั้ง และออกไปไกลจากพระนางเกว็น

สเตฟเฟนเดินอย่างไร้จุดหมายเป็นเวลาหลายชั่วโมงผ่านไปตามทางของป่าดง พยายามรวบรวมปัญญาที่มี จนกระทั่ง มันบอกเขาว่าจะไปที่ไหนดี เขาไปตามถนนชนบทที่มุ่งหน้าสู่ทางเหนือ เขาเดินไป จนถึงจุดที่สูงที่สุดและมองออกไปยังเมืองเล็กๆ ที่อยู่บนเนินเขาอีกด้านในระยะไกล เขามุ่งหน้าไปทางนั้น และเมื่อเขาพยายามไปให้ถึงจุดหมาย เมื่อหันหลังกลับไปดู เขาก็สามารถมองเห็นสิ่งที่เขาต้องการได้ นั่นคือ ทัศนียภาพอันสมบูรณ์ของหอคอยหลีกลี้ หากพระนางเกว็นพยายามที่จะออกจากที่นั่น เขาต้องการอยู่ใกล้ๆ เพื่อจะมั่นใจว่าเขาจะได้ติดตามพระองค์ไป เพื่อปกป้องพระนาง ความจงรักภักดีที่เขามีเขามอบให้แต่พระนางในขณะนี้ ไม่ใช่เพื่อกองทัพ หรือเพื่อเมือง แต่เป็นพระองค์ พระองค์เปรียบดั่งประเทศของเขา

เมื่อสเตฟเฟนมาถึงหมู่บ้านที่มีขนาดเล็กและเรียบง่าย เขาตัดสินใจว่าเขาจะพำนักอยู่ที่นี่ ในสถานที่นี้ เขาสามารถมองเห็นหอคอยได้ เพื่อเฝ้ามองสอดส่องไปยังพระนาง เมื่อเขากำลังเดินผ่านประตูเมือง เขาได้มองเห็นลักษณะที่ไม่น่าสนใจของเมืองนี้ ที่ดูยากจน หมู่บ้านมีขนาดเล็กและอยู่ไกลออกไปรอบนอกของอาณาจักรวงแหวน มันซ่อนตัวอยู่ในผืนป่าทางใต้ ที่พวกกำลังพลของแอนโดรนิคัส ก็ไม่ได้สนใจจะมาทางนี้เลย

สเตฟเฟนมาถึงพร้อมกับการจ้องมองจากชาวบ้านหลายสิบคน พวกเขามีหน้าตาที่ดูขาดเขลาและไร้ซึ่งความเห็นใจ ต่างคนอ้าปากค้าง พร้อมสบถคำเหยียดหยามหัวเราะเย้ยเขา เขาได้รับสิ่งนี้เสมอๆ นับตั้งแต่เกิดมา พวกเขาทั้งหมดพากันตรวจสอบพินิจใบตาของเขา และเขาก็รับรู้ถึงสายตาที่เยาะเย้ยของพวกเขาได้

สเตฟเฟนต้องการหันกลับและวิ่งหนีไป แต่เขาก็บังคับตัวเองไม่ให้ทำอย่างนั้น เขาต้องการอยู่ใกล้กลับหอคอย และเพื่อพระนางเกว็นเขาต้องอดทนให้ได้ทุกสิ่ง

ชาวบ้านผู้หนึ่งที่เป็นผู้ชายร่างใหญ่อายุราว สี่สิบกว่า เขาแต่งตัวในชุดที่ขาดรุ่งริ่ง ซึ่งเหมือนกับชาวบ้านคนอื่นๆ ชายนั่นหันมาหาเขาและตรงรี่เข้ามาหา

"เรามีตัวอะไรนี่? เป็นมนุษย์น่าเกลียดพิกลพิการหรืออย่างไร?"

ชาวบ้านคนอื่นหัวเราะตาม พวกเขาหันมาดูและเข้ามาใกล้

สเตฟเฟนพยายามอยู่นิ่งเฉย เขาคาดการณ์ไปถึงการทักทายในแบบนี้ แบบที่เขาได้รับมาตลอดทั้งชีวิต เขาพบว่า ยิ่งผู้คนท้องถิ่นนี้เข้ามามากเท่าไหร่ มันยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกครื้นเครงกับการเย้ยหยันเขามากขึ้นเท่านั้น

สเตฟเฟนเอนตัวไปข้างหลัง เพื่อให้แน่ใจว่าหากมีการตบตีเขาขึ้นมา มันจะโดนเพียงแค่บริเวณหัวไหล่ ในกรณีที่พวกชาวบ้านที่ไม่ใช่แค่โหดร้าย แต่กระทำการรุนแรงสาหัส เขารู้ว่า หารเขามีความจำเป็นต้องทำ เขาก็สามารถล้มพวกนี้หลายๆ คนได้ในชั่วพริบตาเดียว แต่เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำการรุนแรง เขาต้องการหาที่พักสักที่

"เขาอาจจะเป็นเพียงพวกตัวประหลาดสักตัว ว่างั้นมั้ย?" ชาวบ้านอีกคนหนึ่งถามขึ้น กลุ่มผู้คนที่เข้ามาคุกคามเขามีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและขยายวงใหญ่ขึ้นอยู่รายรอบตัวของเขา

"จากตราสัญลักษณ์ประจำตัว ข้าอยากจะบอกว่าเขาเป็น" ชาวบ้านอีกคนหนึ่งกล่าว "นั่นดูเหมือนจะเป็นโล่ของทางราชวงศ์นะ"

"ส่วนคันธนูนั่น เหมือนทำมาจากหนังสัตว์ชั้นดี"

"ถ้าไม่ดูตัวลูกธนูนะ หัวของมันทำจากทองคำด้วยใช่หรือเปล่า? "

พวกเขาหยุดห่างไปเพียงไม่กี่ฟุต ทำหน้าบึ้งตึงอย่างขู่เข็ญ พวกเขาทำให้เขาหวนนึกไปถึงพวกอันธพาลที่ชอบทรมานเขา ตอนที่เขาเป็นเด็ก

"แล้วเจ้าเป็นใครกัน? เจ้าตัวประหลาด" หนึ่งในฝูงชนพูดใส่เขา

สเตฟเฟนหายใจเข้าลึกๆ เขาตัดสินใจที่จะอยู่อย่างสงบ

"ข้าจะไม่ทำอันตรายพวกเจ้า" เขาเริ่มกล่าวขึ้น

"ทำอันตราย? เจ้านั่นหรือ? เจ้าจะมาทำร้ายอะไรพวกเราได้?"

"เจ้าไม่ควรมาทำอันตรายกับไก่ของพวกเรา”ชาวบ้านอีกคนหัวเราะเยาะ

สเตฟเฟน หน้าแดงขึ้น เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาจะไม่ยอมให้ตัวเองถูกยั่วยุ

"ข้าต้องการเพียงที่หลับนอนและอาหารประทังชีพ ข้ามีมือหยาบกร้านและหลังที่แข็งแรงที่ทำงานได้สารพัด ลองหางานมาให้ข้าซักอย่าง ข้าจะตั้งใจและก็จะไม่ได้เรียกร้องอะไรมาก แค่เท่ากับคนอื่นๆ

สเตฟเฟนต้องการจะลืมตัวตนของเขาไปกับงานที่ต่ำต้อยอีกครั้ง เขาทำงานต่ำๆ พวกนั้นในยามที่รับใช้พระราชาแม็คกิลอยู่ในห้องใต้ดิน มันเป็นเวลายาวนานที่ทำให้ใจของเขาไม่ต้องคิดถึงสิ่งใด เขาสามารถทำงานที่ใช้แรงงานหนักๆ และใช้ชีวิตอย่างไร้ตัวตน มันเป็นสิ่งที่เขาเคยเตรียมพร้อมที่จะทำ ก่อนที่จะพบกับพระนางเกว็น

"เจ้าเรียกตัวเองว่าเป็นคน งั้นหรือ?" หนึ่งในชาวบ้านตะโกนออกมาและหัวเราะเยาะ "บางทีพวกเราหางานอะไร เพื่อใช้เขากันเถอะ" อีกคนหนึ่งตะโกนขึ้น

สเตฟเฟนมองพวกเขาอย่างมีความหวัง

"มันมีงานนึงนะ คือต่อสู้กับหมาและไก่ของพวกเราไงล่ะ" พวกเขาทั้งหมดหัวเราะเยาะ

"ข้าจะจ่ายเงินให้อย่างงาม เพื่อจะรอดู!"

"มันมีสงครามอยู่ข้างนอกนั่น ถ้าพวกเจ้าไม่ได้สังเกตสเตฟเฟน พูดออกมาอย่างเยือกเย็น ข้าแน่ใจว่า ถึงแม้ว่านี่จะเป็นเมืองชนบทที่ยังไม่เจริญอย่างนี้ พวกเจ้าก็ต้องการมีมือมีเท้าที่จะดูแลจัดหาเสบียงอาหาร"

พวกชาวบ้านพากันมองหน้ากันและกันอย่างสับสน

"ใช่ พวกเรารู้ว่ามีสงคราม" ชาวบ้านคนหนึ่งกล่าวขึ้น "แต่หมู่บ้านเราเล็กเกินกว่าที่พวกกองกำลังจะสนใจที่เข้ามาในนี้"

"ข้าไม่ชอบวิธีการพูดจาของเจ้า" คนหนึ่งกล่าว "มันดูไม่ธรรมดา?" น้ำเสียงเหมือนกับเจ้ามีการศึกษามาบ้าง เจ้าคิดว่าเจ้าดีกว่าพวกเรางั้นหรือ?"

"ข้าไม่ได้ดีกว่าใครเลย" สเตฟเฟนกล่าว

"เรื่องนั้น มันชัดเจนอยู่แล้ว" เสียงหัวเราะดังมาจากคนหนึ่ง

"หยอกเย้ากันพอได้แล้ว!" หนึ่งในชาวบ้านร้องขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง

เขาก้าวขึ้นมาด้านหน้า และผลักคนอื่นออกไปด้านข้างด้วยฝ่ามืออันแข็งแรง เขาดูมีอายุกว่าคนอื่น และดูท่าทางจะเป็นคนจริงจัง ฝูงชนพากันเงียบกริบ เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้น

"หากเจ้าหมายความตามที่พูดชายผู้นั้นกล่าวอย่างห้วนๆ ด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ "

ข้าจะใช้ให้เจ้ามาที่โรงโม่ของข้า จ่ายค่าแรงเป็นเมล็ดข้าวหนึ่งกระสอบและน้ำหนึ่งเหยือก เจ้านอนในโรงนาร่วมกับเด็กชายคนอื่นๆ ของหมู่บ้าน ถ้าเจ้าตกลง ข้าก็จะให้เจ้าทำงานนี้

แต่แอบพยักหน้ากลับไปดีใจ ที่สุดท้ายก็มีคนที่รู้จักเอาจริงเอาจัง ข้าไม่ขออะไรมากกว่านี้เขากล่าว

"มาทางนี้" ชายผู้นั้นกล่าว และแยกออกมาจากฝูงชนสเตฟเฟน ตามเขาไปและถูกนำไปยังโรงโม่แป้งขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเด็กวัยรุ่นและผู้ชายอื่นๆ แต่ละคนมีเหงื่อออกและเนื้อตัวเต็มไปด้วยดิน พวกเขายืนอยู่ตรงทางที่เป็นโคลนและผลักล้อขนาดใหญ่ที่ทำด้วยไม้ แต่ละคนจับขอบซี่ล้อหมุน และเดินไปด้านหน้าพร้อมกับหมุนล้อ สเตฟเฟน ยืนอยู่ที่นั่นสังเกตุดูการทำงาน และพบว่ามันเป็นงานที่หนักหนาสากรรจ์ทีเดียว

สเตฟเฟนหันไปบอกกับผู้ชายคนนั้นว่า เขาตกลงจะ แต่เขาหายไปแล้วเพราะเข้าใจว่าเขารับงานนี้ ชาวบ้านคนอื่นๆ ต่างกลับไปทำเรื่องของตัวเอง มีเพียงไม่กี่คนที่ยังตะโกนด่ากลับมา ขณะที่สเตฟเฟน มองไปด้านหน้ายังกงล้อ มันเป็นชีวิตใหม่ที่แขวนอยู่ ณ เบื้องหน้าของเขาแล้ว

ในช่วงเวลาที่แสงเริ่มสลัว เขารู้สึกอ่อนล้าแล้วปล่อยให้ตัวเองเข้าสู่ความฝันเขาได้จินตนาการถึงชีวิตข้างในปราสาทกับเหล่าราชวงศ์และยศที่ได้มา เขาได้มองเห็นตัวเองเป็นบุคคลสำคัญในเบื้องพระหัตถ์ของราชินี เขาน่าจะรู้ดีกว่าเขาคงวาดฝันสูงเกินไป จริงอยู่ เขาไม่ได้มีความสำคัญขนาดนั้นไม่เคยมีเลย เกิดอะไรขึ้นกับเขา เมื่อเขาได้เจอกับพระนางเกว็นมันเป็นแค่ความโชคดีอย่างบังเอิญ ณ บัดนี้ ชีวิตของเขาถูกลดค่าเข้ามาสู่สิ่งนี้ แต่นี่เอง อย่างน้อย ก็เป็นชีวิตเขารู้ดี ชีวิตที่เขาเข้าใจ ชีวิตแห่งความทุกข์ยาก และเมื่อปราศจากพระนางเกว็นชีวิตนี้มันก็คงดีแล้วสำหรับเขา




บทที่ หก


ธอร์เร่งไมโคเพิล ให้ไปเร็วขึ้น เมื่อเขาผ่านเข้าไปในกลุ่มหมู่เมฆ และเข้าใกล้กับหอคอยหลีกลี้มากขึ้น ธอร์รู้สึกถึงอันตรายทั่วทุกอณูที่อาจเกิดขึ้นกับพระนางเกว็นเขารู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนผ่านไปทั่วปลายนิ้วมือ ผ่านไปทั่วทั้งร่างกายของตน มันบอกเขา มันเตือนเขาให้เร่งไปให้เร็วกว่านี้ มันกระซิบบอกเขาอย่างนั้น

เร็วกว่านี้

"เร็วกว่านี้"! ธอร์เร่งไมโคเพิล ไมโคเพิลส่งเสียงคำรามอย่างแผ่วเบาเป็นการตอบรับ เธอกระพือปีกอันใหญ่โตของเธอแรงขึ้น ธอร์ไม่ต้องออกเสียงคำพูดทุกคำให้กับไมโคเพิล เพราะไมโคเพิล เข้าใจในทุกๆ อย่าง ก่อนที่เขาจะพูดออกไปด้วยซ้ำ แต่อย่างไรเสีย เขาก็พูดมันออกไป มันทำให้เขารู้สึกดีขึ้น เขาเคยรู้สึกหมดหนทาง และเขารับรู้ว่า อาจมีบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้นกับพระนางเกว็นและทุกวินาทีตอนนี้มีความสำคัญยิ่ง

ในที่สุดพวกเขาก็ผ่านกลุ่มเมฆ และธอร์ก็รู้สึกผ่อนคลาย เมื่อเขามองเห็นทัศนียภาพของหอคอยหลีกลี้ได้ในระยะไกล มันเป็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่และดูน่ากลัว มันเป็นมีความโค้งมนอย่างสมบูรณ์ เป็นหอคอยที่เล็กเรียวพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า มันสูงขึ้นเกือบจะเท่ากับกลุ่มหมู่เมฆ มันทำมาจากหินโบราณสีดำที่เปล่งประกาย จากตรงนี้ ธอร์สามารถรับรู้ถึงอำนาจของมันที่แผ่ขยายออกมา แม้ว่าเขาอยู่ในระยะไกล

เมื่อเขาบินเข้าไปใกล้ขึ้น ขณะนั้นเอง เขาก็มองเห็นอะไรบางอย่างที่อยู่บนยอดของหอคอย นั่นคือ คนๆ หนึ่ง เธอยืนอยู่ตรงเชิงแนวหินที่ยื่นออกมา เธอกางแขนออกโดย ฝ่ามืออยู่ข้างตัว ดวงตาของเธอปิดอยู่ และเธอก็โอนเอนไปกับสายลม

ธอร์รับรู้อย่างทันทีว่า นั่นคือใคร

พระนางเกว็น

หัวใจของเขาเต้นระรัว เมื่อเห็นพระนางทรงยืนอยู่ที่นั่น เขารับรู้ว่าพระองค์กำลังคิดอะไร และเขารู้ว่าทำไมพระองค์ทรงคิดว่าตัวเขาได้ละทิ้งพระองค์ไปแล้ว และเขาก็โทษตัวเองในความผิดครั้งนี้อย่างเสียไม่ได้

"เร็วกว่านี้"! ธอร์แผดเสียง

ไมโคเพิล กระพือปีกของเธอหนักหน่วงขึ้น

พวกเขาบินไปอย่างเร็วมาก มันเร็วมากจนเหมือนกับว่ามันกระชากลมหายใจธอร์ไปด้วย

เมื่อเขาพวกเขาเข้ามาใกล้ ธอร์ได้มองไปที่พระนางเกว็นที่ทรงก้าวพระบาทกลับออกจากเชิงหินผา ทรงก้าวมาสู่จุดที่ปลอดภัยของหลังคา หัวใจของเขาเหมือนถูกปลดเปลื้องลง เมื่อพระนางได้ทรงเปลี่ยนพระทัยได้ด้วยพระองค์เอง แม้จะไม่ทรงเห็นเขา และทรงตัดสินใจไม่กระโดดลงมา

ไมโคเพิลส่งเสียงคำรามและพระนางเกว็นทอดพระเนตรมองขึ้นมาและทรงเห็นธอร์เป็นครั้งแรกสายตาของเขาประสานเข้าด้วยกันแม้ในระยะห่างไกลเช่นนี้และเขา มองเห็นพระอาการตกใจอย่างสุดขีดบนพระพักตร์ของพระองค์

ไมโคเพิลร่อนตัวลงสู่หลังคา และในเวลานั้น ธอร์กระโดดลงมา โดยไม่ได้รอให้เธอลงจอดลงสำเร็จ แล้ววิ่งไปหาพระนางเกว็นโดลีน

พระนางเกว็นโดลีนทรงหันไปและทรงจ้องมองมาที่เขา สายพระเนตรเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจอย่างสุดขีด พระองค์ทอดพระเนตรราวกับว่า พระองค์กำลังทอดพระเนตรเห็นภูตผี

ธอร์วิ่งมาหาพระองค์ด้วยหัวใจที่รุมตีกระหน่ำ ในใจเอ่อล้นไปด้วยความตื่นเต้นเขาอ้าแขนทั้งสองข้างออก แล้วพวกเขาก็สวมกอดกันและกันแน่น ธอร์อุ้มพระนางขึ้นมาแล้วบีบรัดพระนาง เขาหมุนพระองค์ไปรอบๆ หลายครั้งหลายครา

ธอร์ได้ยินเสียงของพระนางกรรแสงอยู่ในโสตประสาท เขารับรู้ถึงความร้อนของน้ำพระเนตรที่หลั่งรินมายังต้นคอเขา และเขาแทบไม่อยากจะเชื่อตัวเองว่าเขากำลังยืนอยู่ที่นี่ตรงนี้ กำลังสวมกอดพระนางไว้ ผิวกายแนบชิดกัน นี่เป็นความจริง มันเป็นความฝันที่เขาเคยเห็นมันในดวงจิต วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่าที่เขาต้องจากจรอยู่ห่างไกลในดินแดนจักรวรรดิ ณ ช่วงเวลานั้น เขาแน่ใจว่า เขาจะไม่หวนกลับมา จะไม่กลับมามองยังพระนางเกว็นโดลีนอีก ณบัดนี้ เขามายืนอยู่ตรงนี้แล้ว กำลังกอดพระนางไว้ในอ้อมแขนของเขาเอง

การที่ต้องห่างพระนางไปเป็นเวลานาน ทุกอย่างเกี่ยวกับพระองค์เหมือนเป็นสิ่งใหม่ มันรู้สึกสมบูรณ์แบบ และเขาก็ปฏิญาณว่าเขาจะไม่ให้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับพระนางอีก

"เกว็นโดลีน" เขากระซิบในหูของพระนาง

"ธอร์กริน พระนางทรงกระซิบกลับมา

พวกเขาต่างสวมกอดกันและกัน โดยที่ตัวเขาเองไม่รู้ว่าเป็นนานเท่าใด พวกเขาผละตัวออกอย่างช้าๆ และจุมพิตกันและกัน มันเป็นรอยจูบแห่งความรักที่ลึกซึ้งและไม่มีใครยอมที่จะผละตัวออกไป

“เจ้ายังมีชีวิตอยู่ นี่ ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่า เจ้าอยู่ที่นี่” พระนางตรัส

ไมโคเพิลส่งเสียงออกทางจมูกและพระนางเกว็นโดลีนทอดพระเนตรข้ามไหล่ของธอร์ไปทางนั้น เมื่อไมโคเพิล กระพือปีกของเธออีกครั้ง พระพักตร์ของพระองค์ก็เต็มไปด้วยความหวาดเกรง

"อย่ากลัวไปเลย ธอร์กล่าว “นี่คือไมโคเพิล เธอเป็นเพื่อนของข้าและของพระองค์ด้วย ให้ข้าได้แสดงให้พระองค์ดู"

ธอร์จับพระหัตถ์พระนางเกว็นโดลีนและพาเธอข้ามผ่านกำแพงที่กั้นไปอย่างช้าๆ เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ เขารับรู้ได้ถึงความกลัวของพระนาง ธอร์เข้าใจมันดี อย่างไรก็ดี นี่คือมังกรตัวเป็นๆ ของจริง และนี่เป็นการเข้าใกล้มังกรมากกว่าที่พระนางเคยได้ทรงสัมผัสมาในชีวิตของพระองค์

ไมโคเพิลจ้องมองกลับมาที่พระนางเกว็นด้วยดวงตาเปล่งปลั่งสีแดงที่มีขนาดใหญ่โต เปล่งเสียงทางจมูกอย่างเบาๆ ขยับปีกของเธอและโค้งคอของเธอลงมา ธอร์สัมผัสได้ถึงบางสิ่งเหมือนกับความหึงหวงหรืออาจจะเป็นความอยากรู้อยากเห็น

"ไมโคเพิลมารู้จักกับพระนางเกว็นโดลีน"

ไมโคเพิลหันหัวของเธอไปอย่างทรนง

ทันใดนั้นเอง เธอก็หันกลับมาและจ้องมองไปยังดวงพระเนตรของพระนางเกว็นโดลีนราวกับว่ามันสามารถมองทะลุทะลวงพระวรกายไปได้ มันชะโงกหน้าเขามาเข้าใกล้พระนาง เข้ามาใกล้จนเกือบจะชนเข้ากับพระพักตร์ของพระองค์

พระนางเกว็นทรงแย้มพระโอษฐ์กว้างด้วยความประหลาดใจและทรงรู้สึกเกรงขาม หรืออาจจะเป็นความกลัว พระองค์ทรงเอื้อมพระหัตถ์ที่สั่นเทาออกไปด้วยความกลัว แล้วทรงวางพระหัตถ์ลงที่จมูกอันยาวของไมโคเพิลและทรงสัมผัสยังเกล็ดสีม่วงของมัน

หลังจากที่ผ่านช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดมาหลายวินาที ไมโคเพิลเริ่มกระพริบตาแล้วลดจมูกของเธอต่ำลง และถูมันเข้ากับท้องของพระนาง มันเป็นสัญลักษณ์แห่งการแสดงความรัก ไมโคเพิลยังคงถูจมูกของเธอกับท้องของพระนางต่อไป ราวกับว่าตัวเธอติดอยู่ตรงนั้นธอร์ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

จากนั้น ไมโคเพิลก็หันหัวของเธอออกไปอย่างเร็ว แล้วมองขึ้นไปยังขอบฟ้า

"เธอสวยเหลือเกิน" พระนางเกว็นทรงกระซิบ

พระองค์ทรงหันพระพักตร์ไป ทอดพระเนตรไปยังธอร์

"ข้าได้ล้มเลิกความหวังที่เจ้าจะกลับมา"พระนางตรัส "ข้าไม่ได้คาดคิดว่า เจ้าจะมา"

"ตัวข้าก็เหมือนกัน การคิดถึงพระองค์ มันยังคงอยู่ในใจของข้า มันเป็นเหตุผลที่มำให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อ อยู่เพื่อจะกลับมา"

พวกเขาเข้าสวมกอดกันอีกครั้ง กอดกันและกันอย่างแนบแน่นอย่างนั้น สัมผัสกันอย่ารักใคร่เอ็นดู จนท้ายที่สุด พวกเขาก็ผละตัวออกจากกัน

พระนางเกว็นโดลีนทอดพระเนตรลงต่ำและทรงสังเกตุเห็นดาบแห่งโชคชะตาอยู่ข้างลำตัวของธอร์ดวงพระเนตรเบิกกว้างและแย้มพระโอษฐ์เปิดกว้าง

"เจ้านำดาบกลับมาได้" พระองค์ตรัส พระองค์ทอดพระเนตรมองไปยังเขา ทรงยังไม่อยากเชื่อ "เจ้าเป็นคนนั้น หนึ่งเดียวที่สามารถยกดาบขึ้นได้"

ธอร์พยักหน้ารับ

"แต่ ทำได้อย่างไร" พระนางเริ่มตรัสขึ้น และทรงหยุดอย่างช้าๆ เห็นได้ชัดว่าพระนางทรงเต็มตื้นไปด้วยความรู้สึกมากมาย

"ข้าไม่รู้" ธอร์กล่าว "ข้าก็แค่ทำอย่างนั้นได้"

ดวงพระเนตรของนางเบิกขึ้นด้วยความหวัง ขณะที่พระองค์ตระหนักในบางอย่างขึ้นมาได้

"อย่างนั้น โล่พลังก็ใช้ได้อีกครั้ง" พระองค์ตรัสอย่างมีความหวัง

ธอร์พยักหน้ากลับไปยังเคร่งครึม

"แอนโดรนิคัสถูกกักตัวไว้" เขากล่าว "พวกเราปลดปล่อยราชสำนักและเมืองซิเลเซียได้แล้ว"

พระนางเกว็นโดลีนมีสีพระพักตร์ที่ผ่อนคลายและมีพระเกษมสำราญ

"มันคือเจ้า" พระองค์ตรัส เมื่อทรงระลึกขึ้นได้ "เจ้าปลดปล่อยเมืองของพวกเรา"

ธอร์ยักไหล่อย่างเป็นปกติ

"โดยมากแล้ว มันเป็นเพราะไมโคเพิลและดาบแห่งโชคชะตา ข้าแค่ติดตามไปด้วย"

พระนางเกว็นทรงยิ้มกว้าง

"แล้วชาวเมืองของเราล่ะ? พวกเขาปลอดภัยไหม? พวกเขายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?"

ธอร์พยักหน้า

"พวกเขาทั้งหมด ส่วนมากยังมีชีวิตอยู่และสบายดี"

พระองค์ทรงยิ้มกว้าง ทรงดูอ่อนพระชันษาอีกครั้ง

"เจ้าชายเคนดริคกำลังทรงรอพระองค์อยู่ที่เมืองซิเลเซีย" ธอร์กล่าว "และเจ้าชายก็อดฟรีย์ เจ้าชายรีส สร็อก และคนอื่นๆพวกเขายังมีชีวิตอยู่ทั้งหมดและมีความเป็นอยู่ดี เมืองถูกปลดปล่อยแล้ว"

พระนางเกว็นโดลีนทรงเร่งเข้าไปและทรงสวมสวมกอดธอร์ ทรงกอดเขาอย่างแนบแน่น เขารู้สึกว่าพระองค์ทรงรู้สึกปลดเปลื้องและทรงมีผ่อนคลายลง

"ข้าคิดว่าพวกเขาทั้งหมดหายสาบสูญไปแล้ว" พระองค์ตรัส ทรงกรรแสงออกมาเบาๆ "ข้าคิดว่ามันคงสูญสิ้นไปชั่วกาลนาน"

ธอร์ส่ายหัว

"อาณาจักรวงแหวนยังคงอยู่" เขากล่าว "พวกแอนโดรนิคัสกำลังฆ่าพากันหนี พวกเราจะกลับไปกลับไปกวาดล้างพวกมัน และพวกเราก็จะเริ่มสร้างเมืองขึ้นมาใหม่"

พระนางเกว็นโดลีนทรงหันกลับไปหาเขา และทรงทอดพระเนตรไปยังท้องฟ้า ทรงเช็ดน้ำพระเนตรออก พระองค์ทรงดึงฉลองพระองค์คลุมพันรอบพระวรกายแน่นขึ้นและสรพระพักตร์เต็มไปด้วยความเข้าใจ

"ข้าไม่รู้ว่า ถ้าข้ากลับไปที่นั่น"พระองค์ตรัส อย่างลังเล "บางอย่างได้เกิดขึ้นกับตัวข้า ในขณะที่เจ้าไม่อยู่"

ธอร์หันไปมองพระองค์ เขากอดพระองค์รอบพระอังสา

"ข้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์" เขากล่าว "พระมารดาของพระองค์ได้ทรงตรัสบอกกับข้าแล้ว ไม่มีสิ่งใดน่าอับอายเลย" เขากล่าว

พระนางเกว็นโดลีนทอดพระเนตรไปยังเขา ดวงพระเนตรเต็มไปด้วยความประหลาดใจและทรงสงสัย

"เจ้ารู้ งั้นหรือ?" พระองค์ตรัสถามอย่างตกใจสุดขีด

ธอร์พยักหน้า

"มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย"เขากล่าว "ข้ารักพระองค์มากเท่ากับที่เคยเป็นมา ยิ่งมากกว่าด้วยซ้ำ ความรักของเราคือสิ่งที่สำคัญที่สุดและมันไม่มีทางจะถูกทำลายไปได้ ข้าว่าข้าจะต้องแก้แค้นให้กลับท่าน ข้าจะฆ่าพวกแอนโดรนิคัสด้วยตัวของข้าเอง และเพื่อความรักของเรา มันจะไม่มีวันตาย"

พระนางเกว็นทรงเร่งเข้าไปสวมกอดธอร์อย่างแนบแน่น น้ำพระเนตรหลั่งไหลลงมายังคอของเขา และเขารับรู้ความรู้สึกแห่งการปลดเปลื้องของพระองค์

"ข้ารักเจ้า" พระนางเกว็นตรัสในหูของเขา

"ข้าก็รักพระองค์เช่นกัน" เขาตอบกลับไป

ขณะที่ธอร์ยืนอยู่ตรงนั้น สวมกอดพระนางเอาไว้ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยอาการสั่นกลัว เขาต้องการทำมันเดี๋ยวนี้ ณ เวลานี้มากกว่าสิ่งใดทั้งมวลที่จะถามเธอ ที่จะขอเธอแต่งงาน แต่เขารู้สึกว่า เขาไม่ควรทำจนกว่าเขาจะบอกความลับของเขากับเธอเสียก่อน จนกว่าที่เขาจะบอกเธอว่าพ่อของเขาคือใคร

ความคิดนั้นทำให้เขารู้สึกเต็มไปด้วยความอับอายและอัปยศอดสู ตรงนี้เอง ที่เขายืนอยู่ และปฏิญาณตนว่า จะฆ่าพวกคนที่ พวกเขาเกลียดมากที่สุดทุกคน และนี่ก็คือ คำพูดต่อไปของเขา เขาจะพูดออกมาอย่างไร ว่าแอนโดรนิคัสคือพ่อของเขา?

ธอร์รู้สึกมั่นใจว่าถ้าเขาทำอย่างนั้น พระนางเกว็นโดลีนก็จะเกลียดเขาตลอดไป และเขาไม่สามารถเสี่ยงที่จะสูญเสียพระองค์ไปอีก ไม่ได้ หลังจากที่ทุกสิ่งทุกอย่างได้เกิดขึ้นมาแล้ว เขาก็รักพระองค์มากเหลือเกิน

แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มือของเขากับสั่นไหว ธอร์เอื้อมมือไปที่กระเป๋าเสื้อของเขาและดึงสร้อยคอชิ้นหนึ่งออกมา มันเป็นสร้อยที่เขาพบในระหว่างที่ตามหาสมบัติมีค่าของมังกร เชือกที่ทำมาจากทองคำและมีรูปหัวใจทองคำที่เปล่งประกาย รวมถึงมีเพชรและทับทิมอยู่ด้วย เขายกมันขึ้นมาอยู่ในแสงสว่าง ให้พระนางเกว็นทอดพระเนตรดู พระนางทรงอ้าพระโอษฐ์ เมื่อเห็นมันอยู่ตรงนั้น

ธอร์เดินมาด้านหลังของเธอ แล้วสวมใส่มันรอบพระศอของนาง

"มันคือสิ่งเล็กน้อยที่แสดงความรักใคร่ของข้าพระองค์" เขากล่าว

มันดูสวยงามเมื่อพระนางสวมใส่ ทองคำเปล่งประกายท่ามกลางแสงและสะท้อนทุกอย่างออกมา

แหวนที่อยู่ในกระเป๋าของเขาก็รู้สึกร้อนวาบขึ้นมา ธอร์ปฏิญาณว่า จะให้มันกับเธอเมื่อถึงเวลาอันสมควร เมื่อเขาสามารถรวบรวมความกล้าที่จะบอกความจริงกับพระองค์แต่ในตอนนี้ยังไม่ใช่เวลานั้น ทั้งๆ ที่เขาหวังว่ามันควรจะเป็น

"พระองค์เห็นไหมว่า ทรงกลับไปแล้ว" ธอร์กล่าวพร้อมจับแก้มของพระองค์อย่างแผ่วเบาจากหลังมือของเขา "พระองค์ต้องกลับไป ประชาชนกำลังต้องการพระองค์ พวกเขาต้องการผู้นำ อาณาจักรวงแหวนจะไม่เหลืออะไร หากปราศจากผู้นำ พวกเขาต้องการพระองค์เพื่อชี้แนวทาง พวกแอนโดรนิคัสยังคงอยู่อย่างเงียบๆในครึ่งหนึ่งของอาณาจักรเมืองหลายหลายเมืองกำลังต้องการการบูรณะ

เขามองไปที่ดวงพระเนตรของนางและสามารถเห็นว่าพระองค์กำลังรวบรวมความคิด

"ตอบว่า ตกลงเถิด"ธอร์เร่งเร้า "กลับไปกับเกล้ากระหม่อม หอคอยนี้ไม่ใช่สถานที่ สำหรับหญิงสาวที่จะอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต อาณาจักรวงแหวนต้องการพระองค์ ข้าต้องการพระองค์"

ธอร์ยื่นมือออกมาแล้วรอคอย พระนางเกว็นโดลีนทอดพระเนตรลงไปอย่างลังเล

ในที่สุด พระนางก็ทรงยื่นพระหัตถ์ออกมา และวางมันลงบนมือของเขา สายพระเนตรดูอ่อนลงเรื่อยๆและมีแววแห่งความรักและความอบอุ่นอยู่ในนั้น เขามองเห็นว่าพระองค์กลับมาเป็นพระนางเกว็นโดลีนคนเดิมของเขาอีกครั้ง รับรู้สึกถึงความรู้สึกของชีวิตความรักและความสุขใจ มันเหมือนราวกับว่าพระองค์เป็นดอกไม้ที่ฟื้นคืนขึ้นมาในดวงตาของเขา

"ข้าตกลง" พระองค์ตรัสอย่างแผ่วเบา และทรงแย้มพระโอษฐ์

พวกเขาสวมกอดกันและเขากอดพระองค์แนบแน่น และปฏิญาณว่าจะไม่ปล่อยพระองค์ไปไหนอีกแล้ว




บทที่ เจ็ด


อีเร็คเปิดตาของเขาและพบว่าเขานอนอยู่ในอ้อมแขนของอลิสแตร์ เขามองขึ้นไปยังนัยน์ตาสดใสสีฟ้าของเธอที่เหมือนแสงส่องลงมา อันเปี่ยมไปด้วยความรักและความอบอุ่น เธอมีรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก เขารู้สึกว่าความอบอุ่นแผ่ออกมาจากมือของเธอแล้วไปทั่วร่างของเขา เมื่อเขาตรวจสอบตัวเองดู เขารู้สึกว่าร่างกายได้รับการเยียวยาแล้วอย่างสมบูรณ์ รู้สึกดั่งเกิดใหม่ ราวกับว่าเขาไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน นางได้ชุบชีวิตเขาขึ้นจากความตาย

อีเร็คลุกขึ้นนั่งมองเข้าไปในดวงตาของอลิสแตร์ด้วยความประหลาดใจ และเขารู้สึกพิศวงอีกครั้งว่า แท้จริงแล้วเธอเป็นใคร เธอถึงมีพลังแบบนั้นได้อย่างไร

เมื่ออีเร็คลุกขึ้นนั่งแล้วนวดหัวตัวเอง เขาก็จำได้โดยทันที เรื่องทหารของแอนโดรนิคัส การโจมตี การปกป้องธารน้ำลึก และหินก้อนขนาดใหญ่

อีเร็คกระโดดขึ้นด้วยสองเท้าของเขาและมองมายังทหารทั้งหลายที่ตากมองมาที่ตัวเขาราวกับว่ารอคอยการฟื้นคืนและรอคำสั่งใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยการปลดเปลื้อง

"ข้าหมดสติไปนานเท่าไหร่?" เขาหันมาถามอลิสแตร์อย่างบ้าคลั่ง เขารู้สึกผิดที่ต้องละทิ้งคนของเขาไว้เป็นเวลานาน แต่เธอยิ้มกลับมาที่เขายังหวานชื่น

"นานราวหนึ่งวินาที" เธอกล่าว

อีเร็คไม่เข้าใจว่ามันเป็นไปได้อย่างไร เขารู้สึกฟื้นตัวแข็งแรงราวกับว่า เขานอนหลับไปหลายปี เขารู้สึกถึงการพุ่งกระโดดของตนในรูปแบบใหม่ เมื่อเขายกเท้าขึ้นกระโดดตัว วกตัวกลับ แล้ววิ่งไปบริเวณทางเข้าของธารน้ำลึก และได้เห็นงานฝีมือของเขาม ก้อนหินขนาดใหญ่ที่เขาพุ่งเข้าชน ตอนนี้มันหยุดนิ่งและทหารของแอนโดรนิคัสไม่สามารถผ่านเข้ามาได้ พวกเขาได้กระทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำเร็จลง เขาได้ปกป้องทัพตนจากกองทัพขนาดใหญ่ อย่างน้อยๆ ก็ในขณะนี้

ก่อนที่เขาจะเฉลิมฉลองนั้น อีเร็คได้ยินเสียงร้องดังมาจากด้านบน เขามองขึ้นไปบนของหน้าผา ทหารนายหนึ่งส่งเสียงร้องขึ้นมา ก่อนจะเซล้มลงไปด้านหลัง แล้วจึงตกลงสู่พื้นดิน จบสิ้นชีวิต

อีเร็คมองลงไปที่รางของทหารจึงเห็นว่ามันมีหอกที่เสียบทะลุเขารามจากนั้นจึงมองกลับไปเห็นกิจกรรมของ กองทัพเจ้าบ้านที่ตะโกนกรีดร้องปะทุขึ้นไปในทุกที่ดันหน้าของเขาทหารแอนโดรนิคัสหลายสิบคนโผล่ขึ้นมาด้านบนต่อสู้มือเปล่ากับทหารแห่งดยุค เข้าตีต่อยตัวต่อตัว และอีเร็คระลึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้บัญชาการของจักรวรรดิได้แยกกองกำลังเป็นสองส่วน ส่งฝ่ายหนึ่งผ่านเข้ามาตรงลำธารน้ำ อีกฝ่ายหนึ่งส่งขึ้นมาเข้าปะทะบนภูเขา

"ขึ้นไปด้านบนสุด!" อีเร็คออกคำสั่ง "ปีนขึ้นไป!"

ทหารของดยุคตามคำสั่งเขา ในขณะที่เขาวิ่งตรงขึ้นไปบนภูเขา ถือดาบอยู่ในมือ ขึ้นไปตรงทางลาดชันของก้อนหินและฝุ่นผง ในหลายๆ ก้าวที่เขามุ่งไป เขาลื่นไถลและเขาต้องใช้ฝ่ามือจับหน้าผาตรงรอยแตกที่มีอยู่ในหิน จับให้มั่น เขาพยายามอย่างถึงที่สุด เพื่อไม่ให้ตกลงมาทางด้านหลัง เขาวิ่งไปแต่พื้นผิวมันมีความลาดชันมากและมันเป็นการปีนขึ้นมากกว่าการวิ่ง แต่ละก้าวเดินคือการต่อสู้อันยากยิ่ง เสียงเสื้อเกราะกระทบกันดังอยู่รอบตัว ขณะที่ทหารของพวกเขามีอารมณ์ขุ่นเคืองและหายใจหอบ เหมือนกับแพะภูเขาที่เดินตรงขึ้นไปยังหน้าผา

"พลธนู!” อีเร็คตะโกนร้อง

ด้านล่างนั่น ทหารพลธนูหลายสิบนายของ ได้ยกกำลังประเมินสถานการณ์บนภูเขา หยุดดูแล้วเล็งเป้าขึ้นไปบริเวณหน้าผา พวกเขาปล่อยการระดมยิงลูกธนูออกไปอย่างทหารของจักรวรรดิ หลายนายที่กรีดร้องและพากันถอยหลังกลิ้งลงมาอยู่ด้านข้างของหน้าผา มีร่างหนึ่งตกลงมาอยู่ตรงหน้าอีเร็ค เขาหลบเลี่ยงแต่เกือบจะไม่พ้นจากร่างนั้น ทหารของดยุคคนหนึ่งไม่ได้มีโชค ร่างที่ตกลงมาจากข้างบน พุ่งลงมาทับเขา มันส่งให้เขาลอยไปด้านหลัง กรีดร้องเสียงดังอยู่ใต้ร่างของศพที่หนักอึ้งนั่น

พลธนูพร้อมเข้าประจำตำแหน่งและมองยังด้านบน ด้านล่างของภูเขา เขายิงไปในทุกครั้งที่ทหารจักรวรรดิโผล่หัวขึ้นมา จากขอบหน้าผา เพื่อรักษาที่มั่นของตนไว้

แต่การยิงขึ้นไปนั้น มันค่อนข้างจะจัดการได้ยาก เป็นมือต่อมือ ไม่ใช่ว่าลูกธนูทุกลูกจะสามารถเข้าชนกับเป้าหมายได้หมด ธนูลูกหนึ่งพลาดเป้า ยิงเข้าไปทางด้านหลังของทหารของดยุคเอง ทหารนั้นร้องเสียงดังแล้วโค้งหลังลง ทหารของจักรวรรดิใช้โอกาสนั้นให้เป็นประโยชน์ เขาแทงเข้าไปแล้วกระแทกเขาให้ถอยหลัง ตกลงจากหน้าผา แต่เมื่อทหารของจักรวรรดิไร้การกำบัง พลธนูอีกนายก็ยิงลูกธนูเข้าไปที่ช่องท้อง มันสังหารเขา ร่างของเขาตกลงมาหน้าคว่ำจากขอบหน้าผา

อีเร็คเพิ่มความพยายามเป็นสองเท่า เฉกเช่นเดียวกับทหารรอบๆ ตัวเขาที่วิ่งด้วยความเร็วสูงขึ้นไปยังหน้าผา เมื่อเขาเข้าใกล้ด้านบนสุดห่างไปเพียงหนึ่งฟุต เขาก็เริ่มจะลื่นไถลและกำลังจะตกลงมา เขาพยายามเอื้อมมือไปจับรากไม้หนาอันหนึ่งที่โผล่มาจากเนื้อหิน เขาจับมันแน่น เพื่อชีวิตของเขาเอง และห้อยต่องแต่งอยู่ตรงนั้น เขาพยายามดึงตัวเองขึ้นไป โดยใช้เท้าทั้งสองและก้าวขึ้นไปด้านบนอย่างต่อเนื่อง

อีเร็คมาถึงด้านบนก่อนทหารคนอื่นๆและเร่งไปข้างหน้าด้วยการร้องเสียงดังแห่งการประจัญบาน ยกดาบขึ้นสูงด้วยความกระตือรือร้นที่จะช่วยปกป้องทหารของเขาผู้ที่อยู่ในตำแหน่งด้านบนสุด แต่ก็กำลังถูกผลักให้ร่นตำแหน่งมาด้านหลัง ทหารของเขามีเพียงไม่กี่โหลด้านบนนี้ และแต่ละคนก็พัวพันสู้กับทหารจักรวรรดิตัวต่อตัว กองกำลังทางนั้นมีมากกว่าเขาถึงสองต่อหนึ่ง ในทุกวินาทีที่พาดผ่าน ทหารของจักรวรรดิก็เพิ่มจำนวนมายังด้านบนเขานี้มากขึ้นเรื่อยๆ

อีเร็คต่อสู้เหมือนกับคนเสียสติจู่โจมเข้าไปแทงทหารสองคนในคราวเดียวและช่วยคนของเขาให้เป็นอิสระ ไม่มีใครกระทำการรบในสงครามได้เร็วกว่าเขา ไม่มีใครทั้งอาณาจักรวงแหวนที่จะถือดาบสองดาบในมือแล้วฟาดฟันเข้าไปได้ในทุกทิศ อีเร็คใช้ความสามารถที่พิเศษของยอดนักรบแห่งกองรบเงินนี้ต่อสู้กับพวกจักรวรรดิ เขาเป็นผู้ชายคนเดียวที่ปล่อยคลื่นแห่งการทำลายล้าง เขาทั้งหมุนตัว หลบหลีก เข้าฟัน มุ่งหน้าลึกเข้าไปยังกลุ่มทหารจักรวรรดิอันหนาแน่น เขาหลบและใช้หัวพุ่งเข้า พร้อมปัดป้องด้วยความเร็วที่เขาเลือกที่จะไม่ใช้โล่ป้องกัน

อีเร็คฉีกผ่านกองกำลังพวกเขาเหมือนกับลม ล้มคว่ำทหารนับโหล ก่อนที่พวกเขาจะมีโอกาสได้ป้องกันตัว และทหารของดยุคก็อยู่รอบๆ ตัวเขาชุมนุมกันอยู่ด้านหลัง ทหารที่เหลือของดยุคก็กำลังขึ้นมาสู่ยอดด้วย แบรนด์ท และดยุคก็นำหน้า ต่อสู้เคียงข้างกับอีเร็ค ในไม่ช้าโมเมนตัมก็เปลี่ยนทิศ แล้วพวกเขาก็พบว่า ตัวเองกำลังดันให้ทหารจักรวรรดิล่าถอย ซากศพ กองสุมสูงขึ้นมาอยู่รอบตัวพวกเขา

อีเร็คเตรียมพร้อมจะสู้กับทหารจักรวรรดิระลอกสุดท้ายที่ยังคงอยู่บนยอดเขา เขาต้อนทหารนายหนึ่งล่าถอยไป ก่อนที่จะเอียงตัวเข้ามา เตะส่งเขากลับไปยังฝั่งของทหารจักรวรรดิกรีดร้อง เมื่อเขากลิ้งตัวไปด้านหลัง

อีเร็คกับทหารของเขาทั้งหมดยืนตรงนั้น พยายามสูดลมหายใจ อีเร็คก้าวไปข้างหน้าผ่านพื้นที่จุดขึ้นปะทะ จนไปถึงขอบเหวจากฝั่งของทหารจักรวรรดิ เขาต้องการจะมองลงด้านล่างว่ามีอะไร พวกจักรวรรดิได้หยุดส่งทหารขึ้นมาบนนี้อย่างชาญฉลาด แต่อีเร็คมีความรู้สึกลึกๆ ว่าจะต้องมีอะไรเก็บงำเอาไว้ ทหารของเขาขึ้นมาอยู่ด้านข้างของเขาและมองลงไปด้วย

ไม่มีอะไรในมโนภาพที่ร้ายที่สุดจะเตรียมตัวเตรียมใจเขาให้พบกับสิ่งที่อยู่ ณ เบื้องล่าง หัวใจเขาดิ่งลงหุบเหว นอกเหนือไปจากนายทหารหลายร้อยคนที่เขาได้ฆ่าไป นอกเหนือไปจากความจริงที่ว่า เขาสามารถปิดกั้นส่วนธารน้ำได้ และเข้ายึดจุดสูงด้านบนนี้ สิ่งที่มองเห็นด้านล่างคือพลทหารหลายหมื่นนายของฝ่ายจักรวรรดิ

อีเร็คแทบจะไม่อยากเชื่อมัน มันได้พรากทุกสิ่งทุกอย่างที่เขากระทำไปมากมาย ความเสียหายทุกอย่างที่พวกเขาทำไม่ได้กระทบกระเทือนกับกำลังทหารของจักรวรรดิอันไม่มีที่สิ้นสุดได้เลย พวกจักรวรรดิยังคงส่งทหารมามากขึ้นๆ มาที่นี่ อีเร็คและทหารของเขาสามารถฆ่าฟันทหารอีกหลายสิบหลายร้อยคน แต่ในท้ายที่สุด พวกเขาคงสามารถฆ่าล้างจำนวนหลายพัน

อีเร็คยืนอยู่ตรงนั้นรู้สึกสิ้นหวัง ซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้ว่า เขากำลังจะตายอยู่ตรงพื้นที่ตรงนี้ ในวันนี้ มันไม่มีวิธีอื่นแล้ว แต่เขาจะไม่เสียใจ เขาได้ปกป้องอย่างวีรบุรุษแล้ว และถึงแม้ว่าเขาจะตาย มันก็จะไม่มีวิธีใดหรือที่แห่งใดที่ดีไปกว่านี้ เขากำดาบในมือและใส่ความแกร่งกล้าให้กับตัวเอง ความลังเลเพียงอย่างเดียวก็คือ อลิสแตร์จะต้องปลอดภัย

บางทีเขาคิดว่าชีวิตในชาติหน้า เขาคงจะมีเวลากับเธอได้มากกว่านี้

"คือ พวกเราน่าจะมีการหนีที่ดี" เสียงหนึ่งดังขึ้น

อีเร็คหันไปเห็นแบรนด์ท เข้ามายืนด้านข้างมือของเขาจับดาบและรู้สึกอ่อนข้อ พวกเขาทั้งสองต่อสู้กับสมรภูมิด้วยกันมานับไม่ถ้วนและถูกโจมตีจากฝ่ายที่มีกำลังมากกว่าอยู่หลายครา แต่กระนั้น อีเร็คก็ไม่เคยเห็นสีหน้าของเพื่อนเขาเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ มันคงเหมือนเป็นเงาสะท้อนให้กับตัวเขาเองว่า สัญญาณแห่งความตายได้มาถึงที่นี่แล้ว

"อย่างน้อยพวกเราก็จะลงไปพร้อมกับดาบในมือ" ดยุคกล่าวขึ้น

มันเหมือนกับ เสียงสะท้อนในความคิดของอีเร็คไม่มีผิด

ข้างล่างนั้นมีทหารของจักรวรรดิมองขึ้นมาพวกเขาอีกหลายพัน คน เริ่มชุมนุมเดินสวนสนามกันอย่างพร้อมเพรียง มุ่งหน้าเข้ามาสู่หน้าผา พร้อมกับอาวุธมากมาย กองพลธนูของจักรวรรดิเริ่มจะคุกเข่าลง อีเร็ครู้ว่า ณ วินาทีนั้น การนองเลือดกำลังจะเริ่มขึ้น เขาฮึดสู้ขึ้นมาและสูดลมหายใจลึกๆ

ในทันใดนั้น มีเสียงหวีดแหลมดังขึ้นมาจากบางแห่งบนท้องฟ้า มาจากสุดขอบฟ้า อีเร็คมองขึ้นไปบนฟากฟ้า และกำลังสงสัยว่า เขาได้ยินเสียงของสิ่งใดกัน ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ยินเสียงร้องของมังกร เขาคิดว่าบางทีมันน่าจะเป็นเสียงแบบนั้น มันเป็นเสียงที่เขาไม่เคยลืมเลือน วันหนึ่งเขาได้ยินเสียงนั้นจากการฝึกฝนร้อยวัน มันเป็นเสียงที่เขาไม่คิดว่า เขาจะได้ยินมันอีกครั้ง แล้วมันไม่น่าจะเป็นไปได้ มังกร งั้นหรือ? ในอาณาจักรวงแหวน งั้นหรือ?

อีเร็คชะเง้อคอขึ้นไปมองในระยะไกลออกไป ผ่านหมู่เมฆหมอก เขาจึงเห็นภาพที่ปะทุขึ้นผลาญเข้าในใจเขาตราบชั่วชีวิต สิ่งที่บินมา มุ่งหน้าสู่พวกเขานั้น มันเป็นปีกอันใหญ่โตมโหฬารกระพือขึ้นลง มันเป็นมังกรสีม่วงที่มีขนาดใหญ่ พร้อมกับตาสีแดง ภาพที่อยู่เบื้องหลังหน้านั้นดูน่ากลัวมากกว่าทหารทั้งกองทัพ

แต่เมื่อเขามองเข้าไปใกล้ สีหน้าท่าทางเขาเปลี่ยนไปสู่ความสับสน เขาคิดว่าเขาเห็นมนุษย์สองคนนั่งอยู่บนหลังมังกร เมื่ออีเร็คหรี่ตาของเขาลง เขาคิดว่าจำสองคนนั้นได้ หรือว่าดวงตาของเขาเล่นตลกอะไรกันแน่?

ตรงนั้น บนหลังของมังกรมีธอร์กรินนั่งอยู่ ส่วนด้านหลัง คนนั่งเกาะเอวธอร์อยู่คือ ลูกสาวของราชาแม็คกิล คือพระนางเกว็นโดลีน

ก่อนที่อีเร็คจะประมวลความคิดอะไรในสิ่งที่เขาเห็น มังกรก็โฉบลงมา ดำดิ่งเข้าไปสู่พื้นดินเหมือนกับนกอินทรีย์ มันเปิดปากของมันออก แล้วส่งเสียงหวีดร้องอย่างน่าสะพรึงกลัว เป็นเสียงที่ดังแหลมที่ก้อนหินใหญ่ด้านข้างอีเร็คเริ่มจะปริแตก ทั้งพื้นพิภพสั่นสะเทือนเมื่อมังกรพุ่งลงมา เปิดปากของมันแล้วพ่นไฟ มันดูไม่เหมือนสิ่งใดทั้งมวลที่อีเร็คเคยพบเห็นมาก่อน

ทั้งหุบเขาเต็มไปด้วยเสียงตะโกนและเสียงร้องจากทหารจักรวรรดิหลายพัน นายระลอกของไฟกลืนกินเผาเขาไประลอกแล้วระลอกเล่า ทั้งหุบเขาถูกจุดขึ้นด้วยเปลวเพลิง ธอร์กำกับมังกรขึ้นและลงตามแถวของทหาร กวาดล้างพวกเขาจำนวนมากมายในชั่วพริบตา

ทหารที่เหลืออยู่หันตัววิ่งหนี แข่งกันหนีรอดไปสู่ขอบฟ้า ธอร์พยายามตามล่าพวกเขาด้วยเขานำทางมังกรที่พ่นเพลิงออกมามากขึ้น

เพียงชั่วอึดใจทหารทั้งหมดด้านล่างของอีเร็ค กองทหารที่เขารู้สึกว่าจะนำความตายมาถึงตัว ทั้งหมดนั่นโดนสังหารสิ้นซาก ส่วนที่เหลืออยู่ตรงนั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่า ซากที่ดำเป็นตอตะโก กองไฟและเปลวเพลิง และดวงจิตวิญญาณที่ครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่ตรงนั้น กองทัพจักรวรรดิทั้งหมดได้สูญสิ้นไปแล้ว

อีเร็คมองขึ้นไปเปิดปากด้วยความตกตะลึงอย่างสุด-มองไปที่มังกรที่บินสูงอยู่บนอากาศกระพือปีกอันใหญ่โตของมันบินผ่านพวกเขาไปมันบินไปทางเหนือทหารของพวกเขาต่างระเบิดเสียงเชียร์ออกมาลั่น เมื่อมันได้บินผ่านพวกเขาไปแล้ว

อีเร็ครู้สึกไร้ซึ่งคำพูดในการสรรเสริญกับความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของธอร์ ในการควบคุมสัตว์ร้ายและพลังของสัตว์ร้ายนั่น อีเร็คได้รับโอกาสครั้งที่สองในชีวิต เขาและเหล่าทหารของเขารู้สึกมีความหวังกับสิ่งดีดีเป็นครั้งแรกในช่วงหนึ่ง ครั้งนี้เขาสามารถชนะกองทัพของแอนโดรนิคัสนับล้านคนได้ เพราะว่ามีสัตว์ร้ายแบบนั้น พวกเขาสามารถเอาชนะได้จริงจริง

"ทหาร เดินหน้า!" อีเร็คสั่งการ

เขารู้สึกมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวที่จะตามรอยของมังกรไป เขาได้กลิ่นของกำมะถันและเห็นเปลวเพลิงลอยสูงอยู่บนฝากฟ้า ไม่ว่ามันจะนำเข้าไปที่ใด ธอร์ได้หวนกลับมาแล้ว และมันเป็นเวลาที่จะเข้าร่วมกับเขา




บทที่ แปด


เจ้าชายเคนดริคเข้าจู่โจมบนหลังม้าของพระองค์ โดยมีทหารของพระองค์อยู่รายรอบมีจำนวนหลายพันนายอยู่ข้างนอกเมืองวินีเซีย ซึ่งเป็นเมืองสำคัญที่กองกำลังของแอนโดรนิคัสได้ล่าถอยไปปักหลัก ซุ้มประตูเล็กทางเข้าเมืองทำมาจากเหล็กสูงใหญ่โดยมีกำแพงที่ทำมาจากหินที่มีความหนาและมีกองกำลังทหารของแอนโดรนิคัสหลายพันคนอยู่คับคั่ง ทั้งด้านในและด้านนอกประตูเมืองซึ่งดูมีจำนวนมากกว่ากองกำลังของเจ้าชายเคนดริค กองกำลังทหารของฝ่ายพระองค์มิได้มีได้เปรียบอีกต่อไป

ที่แย่ไปกว่านั้นคือ การได้มองเห็นเมืองนี้จากด้านหลัง เห็นทหารหลายพันนายเป็นกองกำลังเสริมที่มารวมกันอย่างคับคั่ง ณ บริเวณที่ราบของเมือง ที่เจ้าชายแขนเด็กคิดไว้ว่าพวกเขากำลังหลบหนีอยู่นั้นสถานการณ์ได้กลับตาลปัตรอย่างรวดเร็ว โดยความจริงแล้วกองกำลังได้เดินสวนสนามมาทางเจ้าชายเคนดริค พวกเขาเดินอย่างเป็นระเบียบและได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเยี่ยม มันเป็นกองกำลังขนาดใหญ่ที่พร้อมจะทำลายล้างได้ทุกสิ่ง

ทางที่เลือกอยู่ทางเดียวที่เหลือในตอนนี้คือการล่าถอยไปยังเมืองซิเลเซียเพื่อตั้งรับอย่างชั่วคราวจนกระทั่งจักรวรรดิเข้ามาชิงเมืองอีกครั้งและพวกเขาทั้งหมดก็ต้องกลายไปเป็นทาสอีกครั้งหนึ่ง และนั่นจะไม่ทรงยอมให้เกิดขึ้นได้เด็ดขาด

เจ้าชายเคนดริคไม่เคยล่าถอยจากการเผชิญหน้า ถึงแม้ว่าจะมีจำนวนน้อยกว่า เช่นเดียวกันกับนักรบผู้กล้าคนอื่นๆในกองทัพของแม็คกิล หรือของเมืองซิเลเซียหรือของอัศวินเงินที่จะไม่ยอมถอย พวกเขาทั้งหมด เจ้าชายเคนดริค รู้ว่าพวกเขาจะสู้จนตัวตายและพระองค์ก็ทรงกำดาบในพระหัตถ์แน่นขึ้นไปอีก พระองค์ทรงรู้ว่าจะต้องทรงทำอะไรในวันนี้

พวกทหารของกองกำลังจักรวรรดิกู่ร้องสัญญาณรบ ส่วนกองกำลังของเจ้าชายเคนดริคก็เข้าร่วมร้องด้วยเสียงดังกว่าอีกฝ่าย

เจ้าชายเคนดริค และพลทหารของพระองค์เร่งฝีเท้าลงไปจากเนินเขาเข้าปะทะกับกองกำลังที่สวนมาของอีกฝ่าย ทรงรู้ดีว่าในการต่อสู้ครั้งนี้ พวกเขาไม่สามารถเอาชนะมันได้แต่ก็ ทรงตัดสินใจกระทำการรบอยู่ดี พวกทหารของแอนโดรนิคัสเร่งฝีเท้าเข้ามาหาพวกเขาอย่างเร็ว เจ้าชายเคนดริค รู้สึกถึงกระแสลมที่พัดผ่านผมของเขา ทรงรู้สึกถึงความสั่นสะเทือนของดาบที่อยู่ในมือ และทรงรับรู้ว่าอาจจะพ่ายแพ้ไป เมื่อใดก็ได้ จากดาบที่ฟาดฟันเสียงดังกังวานอยู่นั่น ซึ่งเป็นเสียงที่ดังและคุ้นเคย

เจ้าชายแคนดริครู้สึกประหลาดพระทัยที่ทรงได้ยินเสียงแหลมดังมาจากเบื้องบน พระองค์ทรงชะเง้อพระศอมองขึ้นไปยังท้องฟ้าและทอดพระเนตรเห็นบางอย่างแหวกผ่านออกมาจากหมู่เมฆ มันทำให้พระองค์ต้องทอดพระเนตรถึงสองครั้ง พระองค์เคยทอดพระเนตรเห็นมันมาก่อน ตอนที่ธอร์โผล่มาบนหลังของไมโครเพิลแต่ภาพที่เห็นนั้นก็ยังคงทำให้พระองค์ทรงประหลาดพระทัยอย่างมาก โดยเฉพาะ ในเวลานี้ที่มีพระนางเกว็นโดลีนอยู่บนหลังนั่นด้วย

ดวงพระหฤทัยของเจ้าชายเคนดริคพองโต เมื่ิทอดพระเนตรเห็นพวกเขาสองคนมุ่งหน้าลงมาแล้ว ทรงระลึกขึ้นได้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์กว้าง ทรงชูดาบขึ้นสูงและเข้าจู่โจมอย่างรวดเร็วระลึกขึ้น เป็นครั้งแรกได้ได้ว่าชัยชนะจะตกเป็นของพวกเขาในวันนี้



*



ธอร์และพระนางเกว็นบินอยู่บนหลังของไมโครเพิลบินผ่านเข้าออกกลุ่มเมฆ ปีกอันใหญ่โตของเธอกระพือขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ในขณะธอร์เร่งให้เธอเดินทางต่อไป เขารับรู้ถึงอันตรายที่อยู่ด้านล่างต่อเจ้าชายเคนดริค และคนอื่นๆ พวกเขาโฉบต่ำลงมา แล้วผ่านทะลุเข้าหมู่เมฆอีกครั้ง ก่อนที่จะมองเห็นภูมิทัศน์ด้านล่างอย่างชัดเจน สภาพที่เป็นเนินเขารายล้อมมากมายของอาณาจักรวงแหวนท เขาเห็นกองทัพของแอนโดรนิคัสใหญ่โตกินอาณาเขตกว้างขวาง กำลังเร่งเข้าจู่โจม กองกำลังของเจ้าชายเคนดริค ในที่ราบโล่งแจ้งนั่น

ธอร์เร่งไมโครเพิลให้ลดตัวต่ำลง

"ร่อนลง!" เขากระซิบ

ไมโครเพิลโชว์ต่ำลงเข้าใกล้ยังพื้นดินที่ธอร์สามารถจะกระโดดออกมา จากนั้น เธออ้าปากของเธอเพื่อปลดปล่อยเปลวเพลิงออกมา ความร้อนของมันเข้าใกล้ตัวของธอร์ เปลวเพลิงระลอกแล้ว ระลอกเล่าม้วนผ่านเข้าไปในบริเวณที่ราบ แล้วก็ตามมาด้วยเสียงร้องอันน่าสะพรึงกลัวของพวกทหารจักรวรรดิ ไมโครเพิลก่อเกิดหายนะ ด้วยการทำลายล้างที่ไม่เหมือนอะไรที่ผู้คนเคยพบเห็นมาก่อน มันทำให้เขตชนบทที่ห่างออกไปหลายไมล์เต็มไปด้วยแสงไฟและทหารนับพันๆ นายล้มตายลง

ผู้ใดก็ตามที่รอดชีวิตจะหันหลังแล้ววิ่งหนีไป ธอร์จะทิ้งพวกนี้ไว้ให้เจ้าชายเคนดริค จัดการต่อไป

ธอร์ย้อนกลับไปยังเมือง และมองเห็นทหารจักรวรรดิจำนวนหลายพันนายอยู่ในนั้น เขารู้ว่าไมโครเพิลไม่สามารถจัดการในที่แคบๆแบบนั้นได้ ในสถานที่ลึกชัน กำแพงแคบๆ และมันก็อันตรายเกินไปที่จะปล่อยให้เธอลงไป ที่นั่น ธอร์เห็นทหารหลายร้อยนายกำลังเล็งลูกธนูและหอกขึ้นมาบนท้องฟ้า เขากลัวว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับไมโครเพิลหากบินลงเข้าใกล้ในระยะประชิด ตัวเขาไม่ชอบให้มันเป็นแบบนั้นเลย เขารู้สึกถึงดาบแห่งโชคชะตาที่กำลังเต้นเป็นจังหวะอยู่ในมือของเขาและรู้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้ เขาต้องทำมันด้วยตัวเอง

ธอร์นำไมโครเพิลลงมาอยู่ด้านหน้าเมืองออกไปด้านนอกของประตูเหล็กขนาดใหญ่

ขณะที่เธอกำลังลงจอด เขาชะโงกหน้าไปกระซิบที่หูของไมโครเพิลว่า "ให้เผาผลาญประตูเมืองเหล็กยักษ์นั่นลง แล้วข้าจะจัดการมันต่อเอง"

ไมโครเพิลนั่งรอตรงนั้น และบ่นกลับไป เธอกระพือปีกขึ้นลงอย่างแข็งขืน เห็นได้ชัดว่า เธอต้องการอยู่เคียงข้างกับธอร์ ต้องการสู้กับเขาในเมือง แต่ธอร์มิอาจให้เธอไปเสี่ยงชีวิตได้

"นี่เป็นสงครามของข้า"เขายืนกราน "และข้าต้องการให้เจ้านำพระนางเกว็นไปอยู่ในที่ปลอดภัย"

ไมโครเพิลดูเหมือนจะยอมรับ แต่ทันใดนั้น เธอก็เอนตัวกลับไปปลดปล่อยเปลวเพลิงไปยังประตูเหล็กนานจนกระทั่งมันหลอมละลายไม่กลายจุณ

ธอร์เอนตัวไปหาไมโครเพิล

"ไปได้!" เขากระซิบบอกเธอ "จงพานางเกว็นโดลีนไปในที่ปลอดภัย"

ธอร์กระโดดลงจากหลังของเธอ และเขารับรู้ถึงการกระตุกของดาบแห่งโชคชะตาที่อยู่ในมือ

"ธอร์!" พระนางเกว็นร้องเรียก

แต่ธอร์ได้เร่งฝีเท้าออกตัวไปแล้ว ไปยังประตูเมืองที่ถูกหลอมนั่น เขาได้ยินเสียงไมโครเพิลทะยานตัวออกไป และรับรู้ว่าเธอกำลังพาพระนางเกว็นไปยังที่ปลอดภัย

ธอร์วิ่งอย่างเร็วไปสู่ประตูที่เปิดออก เข้าไปในลานของตัวเมือง เข้าไปสู่ศูนย์กลางของเมือง ผ่านทหารมากมายหลายพันนาย โดยมีดาบแห่งโชคชะตากำลังสั่นอยู่ในมือราวกับว่ามันมีชีวิต มันนำเขาผ่านไปราวกับว่าเขาตัวเบากว่าอากาศ สิ่งที่เขาต้องทำก็เพียงแค่ถือดาบนั้นไว้ในมือ

ธอร์รู้สึกว่าแขนและข้อมือรวมถึงลำตัวของเขาเคลื่อนไหว ฟาดฟัน จู่โจม ในทุกทิศทางดาบเสียงดังกังวานไปทั่วบรรยากาศ การฟาดฟันของมันราวกับการตัดเนย จัดการฆ่าทหารหลายสิบคนได้จากการฟาดลงเพียงครั้งเดียว ธอร์หมุนควงและปลดปล่อยพลังการทำลายล้างไปทั่วทุกทิศทาง ในตอนแรก พวกจักรวรรดิพยายามที่จะต่อสู้กลับมา แต่หลังจากที่ธอร์ฟันผ่านโล่มาได้ ตัดทะลุเสื้อเกราะไปได้ ตัดอาวุธยุทโธปกรณ์ใดๆ ได้ ราวกับว่าไม่ได้มีอาวุธอะไรอยู่ตรงนั้น หลังจากที่เขาจัดการฆ่าทหารออกไปหลายต่อหลายแถว พวกเขาตระหนักขึ้นมาว่า พวกเขากำลังสู้อยู่กับอะไร มันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์และเป็นการทำลายล้างอย่างรวดเร็วที่ไม่มีทางหยุดได้

ทั้งเมืองเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงพวกทหารจักรวรรดิหลายพันคนและ หันไปและพยายามหนีออกไปจากเมืองออกไปจากธอร์แต่ว่ามันไม่มีหนทางที่จะไปได้ธอร์เคลื่อนไหวเร็วมากจากการนำของดาบไว้ราวกับเป็นสายฟ้าฟาดผ่านไปทั่วทั้งเมืองทั้งทหารที่ตกใจกลัววิ่งเข้าสู่กำแพงเมืองวิ่งเข้าหากันและกัน พากันแตกตื่นเพื่อจะหลบหนีไป

ธอร์ไม่ได้ปล่อยให้พวกเขาหลบหนีเข้าวิ่งด้วยความเร็วสูงผ่านทุกซอกมุมของเมืองมีดาบพาเขาไปด้วยความเร็วที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อนและ ในขณะที่เขานึกถึงพระนางเกว็นโดลีนและสิ่งที่แอนโดรนิคัสได้กระทำกับเธอเขาฆ่าฟันทหารคนแล้วคนเล่า เพื่อเป็นการล้างแค้นอย่างสาสมมันถึงเวลาทำสิ่งผิดให้เป็นสิ่งถูกต้อง กับแอนโดรนิคัสได้ เข้ามารุกรานอาณาจักรวงแหวนทั้งหมด

แอนโดรนิคัสพ่อของเขาความคิดนี้เผาไหมเขาเหมือนอยู่ในกองไฟ การฟันดาบลงไปในแต่ละครั้งธอร์นึกไปถึงการข้าตัวเขาและล้างสะสางมันจนไปถึงต้นบรรพบุรุษทมต้องการจะเป็นคนอื่นเกิดมาจากคนอื่น เขาอยากได้พอที่เขาสามารถภาคภูมิใจได้ใครก็ได้ที่ไม่ใช่แอนโดรนิคัสแล้วถ้าเขาจะเอาถ้าทหารเหล่านี้เพียงพอแล้ว ในบางครั้ง เขาก็จะทำให้ผลจากความนึกคิด เกี่ยวกับสิ่งที่เขาเป็นอยู่ได้

ธอร์ต่อสู้ด้วยความงง เขาหมุนไปทั่วทุกทิศทาง จนกระทั่งเขาระลึกขึ้นได้ว่า เขากำลังตีอยู่เขากำลังฟาดฟันอยู่กับความว่างเปล่า เขามองไปรอบๆ เห็นว่าทหารทุกคนแต่ละคนจากกองกำลังหลายพัน นอนสิ้นชีวิตอยู่กับพื้นทั้งเมืองเต็มไปด้วยซากศพ ไม่มีใครหลงเหลืออยู่อีก

ธอร์ยืนอยู่ที่จตุรัสของเมืองเพียงลำพังหายใจเหนื่อยหอบโดยมีดาบที่ส่งแสงเรืองรองอยู่ในมือ โดยไม่ใช่จิตวิญญาณที่ถูกปลุกเร้า

ธอร์ได้ยินเสียงในระยะไกลเขาฝ่ามันออกไปวิ่งออกไปจนไปถึงประตูเมืองลาได้มองเห็นนายทหารของเจ้าชายเคนดริคกำลังเข้าต่อสู้กับ ทหารของแอนโดรนิคัสส่วนที่เหลือเพียงเล็กน้อย เป็นการไล่พวกเขาออกไป

ขณะที่ธอร์กำลังวิ่งไปยังประตูเมืองอยู่นั้น ไมโคเพิลก็มองเห็นเขาและลดตัวลงมา เธอกำลังรอคอยการกลับมาของเขาอยู่ พระนางเกว็นอยู่บนหลังของเธอ ธอร์ขึ้นขี่หลังของมังกร และบินออกไปสู่อากาศอีกครั้งหนึ่ง

พวกเขาบินผ่านกองกำลังทหารของเจ้าชายแคนดริค ธอร์มองเห็นพวกเขาจากการบนนี้เหมือนกับฝูงของมดที่อยู่ต่ำลงไปพวกเขาส่งเสียงร้องแห่งชัยชนะเมื่อเขาบินผ่านไป จนในที่สุด พวกเขาก็มาอยู่ด้านหน้าของกองทัพของเจ้าชายเคนดริคอยู่เบื้องหน้าของกองทัพคนและม้าอันยิ่งใหญ่ท่ามกลางกองฝุ่นอยู่เบื้องหน้ากองกำลัง ทหารยุวชนที่ยังคงหลงเหลืออยู่ของแอนโดรนิคัส

"ลงไป" ธอร์ส่งเสียงกระซิบ

พวกเขาทะยานแล้วเขาไปไกลกับทหารของแอนโดรนิคัส ณ ขณะนั้น ไมโคเพิลก็หายใจเป็นเปลวเพลิงออกมากวาดล้างแถวของทหารออกไปหนึ่งแถว มันเป็นกำแพงไฟที่ ปล่อยออกมาอย่างรวดเร็วเสียงกรีดร้องดังขึ้นและในไม่ช้าธอร์ก็สามารถกวาดล้าง กองกำลังเสริมด้านหลังได้ทั้งหมด

ในที่สุดก็ไม่มีผู้คนเหลือให้ฆ่าได้อีก

พวกเขายังคงบินต่อไป ข้ามผ่านดินแดนที่ราบที่ขยายตัวออกไป ธอร์ต้องการที่จะแน่ใจว่า จะไม่มีใครหลงเหลืออยู่อีก ในระยะตรงนี้ธอร์สามารถมองเห็นขอบเขตของภูเขา เห็นที่ราบสูงไฮแลนด์ที่แบ่งดินแดนตะวันออกและตะวันตกออกจากกัน ไม่มีทหารจากจักรวรรดิหลงเหลือมีชีวิตรอดอยู่เลยสักราย ธอร์รู้สึกพอใจที่ได้รู้เช่นนั้น

ทั้งอาณาจักรทางตะวันตกของอาณาจักรวงแหวนใต้ถูกปลดปล่อยแล้ว มันมีการฆ่าฟันเพียงพอแล้วสำหรับในหนึ่งวัน พระอาทิตย์กำลังจะตก และไม่ว่าสิ่งใดจะรออยู่ยังอีกฝั่งหนึ่งของที่ราบสูงไฮแลนด์ทางด้านตะวันออก มันก็จะยังคงเป็นอย่างนั้นต่อไป ณ เวลานี้

ธอร์บินเวียนเป็นวงกลมบินกลับไปหาเจ้าชายเคนดริคที่อยู่ในชนบท เขาเร่งไปหาเจ้าชายในทันทีที่ได้ยินเสียงตะโกนและเสียงโห่ร้อง ของพวกทหารที่มองขึ้นมายังท้องฟ้าและเปล่งเสียงเรียกชื่อของเขา

เขาลงจอดอยู่เบื้องหน้าของกองทัพและลงมาจากมังกร พร้อมกับช่วยพระนางเกว็นโดลีนลงมาด้วยกัน

พวกเขาได้รับการสวมกอดจากกลุ่มคนขนาดใหญ่ ทุกคนต่างกรูกันเข้ามา เสียงโห่ร้องแห่งชัยชนะดังขึ้น และเหล่าทหารเบียดเสียดกันเข้ามาจากทุกทิศทาง เจ้าชายเคนดริค เจ้าชายก็อดฟรีย์ เจ้าชายรีส และเหล่าทหารพี่น้องยุวชน กลุ่มอัศวินเงิน ทุกๆคนที่ธอร์รู้จักและห่วงใยต่างพากันเข้ามสวมกอดเขากับพระนางเกว็นโดลีน พวกเขาทุกคนรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ในที่สุด พวกเขาก็ได้รับอิสรภาพ




บทที่ เก้า


แอนโดรนิคัสเดินกระหน่ำไปด้วยความโกรธทั่วค่ายพักของเขาด้วยความเดือดดาลอย่างมาก เขาเอื้อมกรงเล็บที่ยาวแหลมฟาดลงยังหัวของนายทหารหนุ่มที่โชคร้าย ที่บังเอิญอยู่ข้างทาง ขณะที่เขาเดินไป แอนโดรนิคัสก็ตัดศีรษะของทหารอีกคนหนึ่งหลังจากคนแรก แล้วในที่สุด พวกทหารก็ได้รู้ว่าควรจะอยู่ห่างจากเขาเอาไว้ พวกเขาควรจะรู้ดีว่านี้ หากต้องอยู่ใกล้เขาเวลาที่มีอารมณ์ร้ายเช่นนี้

ทหารบางส่วนแยกทางออกไป ขณะที่แอนโดรนิคัสย่ำเท้าไปด้วยความโกรธ ผ่านไปทั้งค่ายของทหารหลายหมื่นนาย ทุกคนต่างเว้นระยะห่างอันพอสมควร แม้แต่นายพลของเขา ก็พยายามอยู่ห่างในระยะที่ปลอดภัย คอยติดตามอยู่ด้านหลัง เพราะรู้ว่าไม่ควรอยู่ใกล้เขาเกินไปเวลาที่เขามีอารมณ์เสียเช่นนี้

ความพ่ายแพ้ก็เป็นอย่างหนึ่ง แต่การพ่ายแพ้ในรูปแบบนี้ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของดินแดนจักรวรรดิ แอนโดรนิคัสไม่เคยประสบความพ่ายแพ้มาก่อน ในชีวิตของเขามีเพียงแต่เรื่องราวของชัยชนะ แต่ละครั้งก็จะโหดร้ายและ สนองความพอใจมากกว่าอีกอัน เขาไม่เคยรู้ว่าจะต้องพ่ายแพ้แบบนี้และตอนนี้เขารู้แล้วเขาไม่ชอบมันเลย แอนโดรนิคัสคิดอยู่ในใจครั้งแล้วครั้งเล่าว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร และมีอะไรที่ผิดพลาดไป เพียงแค่เมื่อวานนี้ทุกอย่างเป็นราวกับว่าชัยชนะของเขา เสร็จสิ้นสมบูรณ์ราวกับว่าอาณาจักรวงแหวนเป็นของเขาแล้วเขาได้ทำลายราชสำนักและมีชัยชนะเหนือเมืองซิเลเซีย เขาได้ปราบปรามพวกราชวงศ์แม็คกิล และทำให้ผู้นำของมันเสียเกียรติ นั่นคือ ราชินีเกว็นโดลีน เขาได้ทรมานทหารใหญ่ๆ ของพวกนั้น โดยตรึงไว้กับไม้กางเขนและได้สังหารคอร์คไปแล้ว และกำลังที่จะประหารชีวิตเจ้าชายเคนดริคกับพวกคนอื่นๆ ส่วนอาร์กอนที่เข้ามาก้าวก่ายในเรื่องของเขา ก็ได้ลักพาตัวราชินีเกว็นโดลีนออกไปได้ ก่อนที่เขาจะฆ่าเธอ แอนโดรนิคัสพยายามจะแก้ไขเรื่องเหล่านั้น เพื่อจะได้พระนางกลับมาและสังหารพระองค์ร่วมไปกับคนอื่นๆ เขารู้ว่า มันเป็นเพียงแค่หนึ่งวัน จากชัยชนะอันสมบูรณ์และความยิ่งใหญ่

และจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและยิ่งแย่กว่านั้นธอร์และมังกรก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า เหมือนกับเป็นการปรากฏตัวของภูตผีที่ชั่วร้าย แล้วก็ร่อนลงมาเหมือนกับกลุ่มควัน ด้วยเปลวไฟที่ยิ่งใหญ่กับดาบแห่งโชคชะตาที่กวาดล้างทั้งกองทัพของเขา แอนโดรนิคัสได้มองเห็น มันทั้งหมดตอนที่อยู่ในระยะที่ปลอดภัยเขาเห็นการสู้รบกันล่าถอยที่นี่และได้ถอยไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งของที่ราบสูงหายเลนส์โดยมีหน่วยสอดแนมคอยนำข่าวกลับมาบอกเขาทั้งวันเกี่ยวกับการทำลายล้างที่ธอร์และมังกรทำลงไป ด้านล่างทางใต้ใกล้กันกับซาวาเรียทั้งกองพันทหารถูกหลังทำลายสิ้นในราชสำนักและเมืองซิเลเซียมันก็แย่เช่นเดียวกัน ตอนนี้ทางฝั่งของอาณาจักรวงแหวนด้านตะวันตก ที่เขาเคยครอบครองได้ถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระไปแล้ว มันเหลือเชื่อเกินกว่าจะเข้าใจได้

เขาพยายามคิดถึงเรื่องดาบแห่งโชคชะตา เขาคิดถึงระยะทางอันแสนไกลที่จะได้มันมา หากเดินทางจากอาณาจักรวงแหวนและตอนนี้มันได้กลับมาที่นี่และเมื่อมีมันแล้วโล่พลังงานก็กลับคืนมาอีกครั้ง มันหมายถึงเขาก็จะถูกจำกัดให้อยู่ตรงนี้กับกำลังพลที่มี ถ้าเขาจะออกไป แล้วมันแน่นอนว่า เขาก็จะต้องการการสนับสนุนที่มากขึ้นจากด้านในนี้ เขาคาดว่าเขาจะยังคงมีกองกำลังครึ่งล้านอยู่ที่นี่ อยู่อีกฝั่งหนึ่งของที่ราบสูงไฮแลนด์ที่มีมากเกินกว่าพวกแม็คกิล แต่หากปะทะกับธอร์ที่มีดาบแห่งโชคชะตาและมังกร ไม่ว่าจะมีจำนวนมากเท่าไหร่ก็ไม่สำคัญ ตอนนี้โอกาสที่จะเป็นไปได้อย่างน่าขันคือ การเข้าปะทะกับตัวเขา ครั้งหนึ่งเขาก็เคยอยู่ในตำแหน่งแบบนี้มาก่อน ราวกับว่าสิ่งต่างๆไม่เพียงแต่เป็นเรื่องที่แย่ลงเท่านั้น พวกสอดแนมก็ส่งข่าวกลับมาหาเขาอย่างไม่เคยหยุดพักว่าที่บ้านเกิด ที่เมืองหลวงของจักรวรรดิ โรมูลัสได้ลักลอบเข้า ไปชิงบัลลังก์มาจากเขา

แอนโดรนิคัสร้องคำรามไปด้วยความโกรธแขนเดือดดาล เมื่อเขาย่ำกระหน่ำไปทั่วทั้งค่าย พิจารณาโต้แย้งถึงทางเลือกที่เขามี มองหาใครบางคน ใครสักคนที่จะตำหนิ เขารู้ว่า ในฐานะผู้บังคับบัญชาสิ่งที่ฉลาดที่สุดกับยุทธวิธีน่าจะเป็นคือ การยอมแพ้และออกจากอาณาจักรวงแหวนในตอนนี้ ก่อนที่ธอร์และมังกรจะมาพบเขา เขาควรจะกอบกู้สิ่งที่เขามี กองกำลังที่เขายังเหลืออยู่พากันขึ้นเรือและ ออกเรือแล่นกลับไปสู่อาณาจักรจักรวรรดิ ไปพร้อมความอัปยศที่จะรักษาบัลลังก์ของเขาไว้ อย่างไรก็ตาม อาณาจักรวงแหวนเป็นเพียงแค่จุดเล็กๆเมื่อเทียบกับ ความใหญ่โตของอาณาจักรจักรวรรดิและผู้นำอันยิ่งใหญ่ทุกคนก็เคยพ่ายแพ้มาอย่างน้อยหนึ่งครั้ง เขาก็ยังคงปกครองโลกนี้ถึงร้อยละเก้าสิบเก้า เขารู้ว่าเขาควรจะเพียงพอใจแล้วกับเรื่องนั้น

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ขวางทางแอนโดรนิคัสผู้ยิ่งใหญ่ แอนโดรนิคัสไม่ใช่คนที่จะระมัดระวังหรือพึงพอใจเขาทำตามความต้องการกิเลสในตัวเองและถึงรู้ว่ามัน จะเป็นการเสี่ยง เขาก็ยังไม่พร้อมที่จะออกจากที่นี่และยอมรับความพ่ายแพ้ยอมให้อาณาจักรวงแหวนหลุดไปจากเงื้อมมือของเขาได้ ถึงแม้ว่าเขาจะต้องเสียทั้งกองทัพแห่งจักรวรรดิไป เขาก็จะหาหนทางที่จะบดขยี้และเข้าครอบงำที่แห่งนี้ให้ได้ ไม่ว่าจะ ต้องทำอย่างไรก็ตาม

แอนโดรนิคัสไม่สามารถจะควบคุมมังกรหรือดาบแห่งโชคชะตาได้แต่ เขาควบคุมธอร์กรินได้มันเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต่างไป เขาคือลูกชาย

แอนโดรนิคัสหยุดและถอนหายใจกับความคิดนั้น ช่างเป็นเรื่องน่าขัน ลูกชายแท้ๆ ของเขาคืออุปสรรคอย่างสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่กับการครอบงำโลกใบนี้ บางครั้งมันเป็นเหมือนความเหมาะสม มันเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้และก็เหมือนกับทุกครั้งเขารู้ ว่า คนที่ใกล้ชิดมากที่สุดจะนำความเจ็บปวดมาให้มากที่สุด

เขาย้อนรำลึกไปถึงคำพยากรณ์ที่มันเป็นความผิดพลาดที่ปล่อยให้ลูกชายมีชีวิตอยู่มันเป็นความผิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเขาอยู่ในตำแหน่งที่อ่อนแอถึงแม้ว่าเขารู้ว่าคำพยากรณ์ที่ประกาศมาอาจจะนำมาสู่ความตายของตัวเอง แต่เขาก็ยังปล่อยให้ธอร์มีชีวิตอยู่และตอนนี้ถึงเวลาที่เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานกับบทเรียนนี้

แอนโดรนิคัสยังเดินย่ำเท้าต่อไปในค่ายทหารเดินไปพร้อมกับนายพลที่สุดท้ายเขาก็มาถึงรอบนอกและมาถึงค่ายพักที่มีขนาดเล็กกว่าที่อื่น มันเป็น กระโจมสีเลือดหมูเด่นอยู่บนที่อยู่ในสีดำและทอง มีเพียงบุคคลเดียวที่จะกล้ามีเต็นที่สีต่างออกไปมีอยู่คนเดียวที่พวกทหารเหล่านี้เกรงกลัว

นั่นคือ ราฟี

พ่อมดส่วนตัวของแอนโดรนิคัสสัตว์ประหลาดที่นำมาซึ่งลางร้ายอันถึงที่สุดที่เขาเคยได้เขาสัมผัสราฟี่เป็นที่ปรึกษาของแอนโดรนิคัสในทุกอย่างก้าวที่เขาไป เขาได้ปกป้อง แอนโดรนิคัสจากพลังงานที่มุ่งร้ายและรับผิดชอบต่อการที่เขายกระดับขึ้นมากกว่าใครทั้งหมดแอนโดรนิคัสเกลียดที่จะต้องมาหา เขาอีกในตอนนี้เพื่อยอมรับว่าต้องการตัวเขาและเมื่อเวลาที่เขาต้องเผชิญกับอุปสรรคที่ไม่ใช่ในโลก เป็นสิ่งที่เกี่ยวกับเวทมนตร์มันเป็นเรื่องที่เขาต้องมาหาราฟีเสมอๆ

เมื่อแอนโดรนิคัสเข้าไกลกับที่พักของเขาตัวประหลาดอาบมนุษย์สองตัวที่ยาวและผอมแห้งที่ซอนอยู่ด้านหลังเสื้อ Chrome สีเลือดหมูพร้อมกับเพลงดวงตาสีเหลืองเรืองรองออกมาจาก ด้านหลังของผ้าคลุมหัวมองจองกลับมามันเป็นสัตว์เพียงอย่างเดียวที่อยู่ในที่พักที่กล้าที่จะไม่ก้มหัวให้เขา เวลาที่เขาปรากฏตัว

"ข้าเรียกหาราฟี" แอนโดรนิคัสประกาศ

เจ้าสัตว์ประหลาดสองตัวเอื้อมมือไปที่ดึงที่ปิดของเต้นท์โดยไม่ได้หันตัวไป

เมื่อนั้นเองกลิ่นที่น่าสยองขวัญก็ออกมาสู่แอนโดรนิคัสและทำให้เขาหดตัวถอยหลังกลับ

มันเป็นการรอคอยที่ยาวนาน นายพลทั้งหมดหยุดยืนอยู่ด้านหลังแอนโดรนิคัสและมองดูอย่างใจจดใจจ่อคนที่ทั้งค่ายทุกคนตั้งใจจะมาพบ ทั้งค่ายพักก็อยู่ในความเงียบสงบ

ในที่สุด ก็มีร่างออกมาจากเต็นท์สีเลือดหมู ปรากฏเป็นสัตว์ประหลาดร่างสูงยาว ซึ่งสูงกว่าแอนโดรนิคัสถึงสองเท่าทและผอมยาวเหมือนกิ่งไม้ของต้นโอลีฟ แต่งตัวอยู่ในสีเสื้อคลุมสีเลือดหมูที่เข้มที่สุด ด้วยใบหน้าที่มองไม่เห็นแอบซ่อนอยู่ในบางที่ในความมืดมิดใต้หมวกคลุม

ราฟียืนอยู่ตรงนั้นแล้วจ้องกลับมา แอนโดรนิคัสสามารถจะเห็นเพียงดวงตาสีเหลืองที่ไม่กระพริบ จ้องมา ดวงตาที่มันฝังลึกลงไปกับผิวสีซีดเผือดของเขา

ความเงียบอย่างตึงเครียดเข้ามาปกคลุมในที่สุดแอนโดรนิคัส ก็ก้าวมาข้างหน้า

"ข้าอยากให้ธอร์กรินตาย" แอนโดรนิคัสกล่าวหลังจากความเงียบงานเป็นเวลานาน ราฟี หัวเราะเบาๆเบาๆมันเป็นเสียงที่ เลิกแล้วชวนให้หัวเสีย

"พ่อกับลูกชาย" เขากล่าว "ช่างเหมือนกันในทุกครา"

แอนโดรนิคัสรู้สึกถูกเผาไม่อยู่ข้างในและหมดความอดทน

"เจ้าจะช่วยข้าไหม?" เขาย้ำถาม

ราฟียืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบงันเป็นเวลานาน มันนานพอที่แอนโดรนิคัสกำลังคิดจะฆ่าเขาแต่เขารู้ว่ามันจะเป็นเรื่องเล่นๆ ครั้งหนึ่งตอนที่โมโหร้ายแอนโดรนิคัสได้พยายามจะแทงเขาอย่างหุนหัน แต่ดาบของเขาก็ละลายอยู่ในมือเขากลางอากาศดำของมันเผาไม่มือของเขาไปด้วยมันใช้เวลาอยู่หลายเดือนที่จะทำให้เขาหายจากอาการเจ็บปวด

ดังนั้นแอนโดรนิคัสจึงยืนยืนอยู่ตรงนั้นกัดฟันและอดทนรออยู่ในความเงียบ

ในที่สุด ภายใต้ผ้าคลุมศีรษะนั้น ราฟีก็พูดพึมพำออกมา

"พลังงานที่อยู่รอบตัวเด็กนั่นช่างแข็งแกร่งมาก" ราฟีกล่าวอย่างช้าๆ "แต่ทุกคนก็มีจุดอ่อน เขาถูกยกระดับขึ้นมาด้วยเวทมนตร์ และก็จะถูกลดลงมาได้ ด้วยเวทมนตร์เช่นกัน"

แอนโดรนิคัสรู้สึกสนใจและก้าวเข้ามาข้างหน้า

"เวทมนตร์อะไรกัน? ที่ท่านพูดถึง"

ราฟีหยุดชั่วขณะ

"เป็นในแบบฉบับที่เจ้าไม่เคยพบมาก่อน" เขากล่าว "เป็นในแบบที่สงวนไว้เพียงเพื่อคนอย่างธอร์เท่านั้น นี่คือปัญหาของเจ้า แต่ว่าเขามีมากกว่านั้นอีก เขามีพละกำลังมากกว่าเจ้า แล้วเขามีชีวิตอยู่เพื่อจะรอวันนั้น"

แอนโดรนิคัสโกรธอย่าหัวเสีย

"บอกข้าเรื่องวิธีที่จะจับเขามา" เขาสั่งการ

ราฟี่ส่ายหัวของเขา

"นั้นเป็นจุดอ่อนของท่านเสมอมา" เขากล่าว "ท่านเลือกที่จะจับตัวเขา ไม่ได้ฆ่าเขา"

"ข้าต้องจับตัวเขาก่อน" แอนโดรนิคัสโต้แย้ง "จากนั้นจึงฆ่าเขาซะ มันมีวิธีหรือไม่?

ความเงียบงำอีกระลอกตามมา

"มันมีวิธีที่จะดึงพละกำลังของเขา ใช่" ราฟีกล่าว "เมื่อดาบอันล้ำค่าหลุดมือไป เมื่อมังกรหลุดเขาไป เขาก็จะเป็นเพียงแค่เด็กชายเฉกเช่นคนอื่นๆ"

"บอกวิธีข้ามา" แอนโดรนิคัสออกคำสั่ง

มันเป็นความเงียบงันอีกยาวนาน

"ราคาของมันคือ อะไรล่ะ?" ราฟีตอบมาในที่สุด

"อะไรก็ได้" แอนโดรนิคัสตอบ "ข้าให้อะไรเจ้าก็ได้"

แล้วเสียงหัวเราะอันชั่วช้าก็ดังขึ้นเป็นเวลานาน

"ข้าคิดว่าวันหนึ่งท่านจะต้องเสียใจเรื่องนั้น" ราฟีตอบ

"เสียใจอย่างมาก มากเลยทีเดียว"




บทที่ สิบ


ขณะที่โรมูลัสเดินอย่างพิถีพิถัน ตามถนนที่ทำจากอิฐทองคำมุ่งหน้าสู่เมืองโวลูเซียซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรจักรวรรดิ ทหารแต่งตัวในชุดที่ดีที่สุดในการปฏิบัติหน้าที่ โรมูลัสเดินอยู่ด้านหน้าของทหารซึ่งดูผิดหวังและแพ้พ่ายจากการต่อสู้กับมังกร ทหารซึ่งมีจำนวนลดลงเหลืออยู่ไม่กี่ร้อยนาย

โรมูลัสรู้สึกเดือดพล่าน มันเป็นการเดินของความอัปยศ ทั้งชีวิตเขาเคยกลับมาพร้อมกับชัยชนะที่เดินแห่ไปอย่างวีรบุรุษ ตอนนี้เขาเดินกลับมาอย่างเงียบงันในสภาพที่ต้องอับอาย เขานำพาทหารที่รับความพ่ายแพ้ล้มเหลวกลับมา แทนที่จะเป็นของรางวัลและนักโทษที่ถูกจับกุม

มันเหมือนไฟรุมเผาอยู่ข้างใน มันเป็นเรื่องขาดเขลาที่เขาต้องเดินทางไกล เพื่อไล่ตามดาบ เพื่อเผชิญหน้ากับมังกร อัตตาของเขาได้นำพาเขาไป เขาน่าจะรู้ตัวดีกว่านี้ เขาช่างโชคดีที่หนีมันมาได้ ทั้งหมดนี่ไม่ใช่ทหารทุกคนจะไม่ได้รับบาดเจ็บ เขายังคงได้ยินเสียงทหารร้องโอดโอยและได้กลิ่นเนื้อที่ไหม้เกรียมอยู่

ทหารของเขาเป็นพวกที่มีระเบียบวินัยและต่อสู้อย่างกล้าหาญหรือที่พากันเดินหน้าไปสู่ความตายภายใต้คำสั่งของเขา หลังจากทหารหลายพันนายที่ หดหายไปต่อหน้าต่อตา จนเหลือเพียงแค่ไม่กี่ร้อย เขารู้ดีเมื่อถึงเวลาต้องหนีทเขาออกคำสั่งให้ล่าถอยอย่างเร่งด่วนและกำลังที่เหลือนี้ก็ไถลลื่นลงไปสู่อุโมงค์ที่เหมือนเป็นตู้นิรภัย มันกำบังพวกเขาจากเปลวเพลิงของมังกร พวกเขาซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน แล้วจึงเดินทางกลับมาจนถึงเมืองหลวงโดยการเดินเท้า

ในตอนนี้พวกเขาก็เดินผ่านประตูเมืองที่อยู่สูงขึ้นไปร้อยฟุตสู่ฟากฟ้าขณะที่เดินเข้ามาในเมืองแห่งตำนานเมืองนี้ที่ประดิษฐ์มาจากทองคำ ทหารจักรวรรดิที่เดินอยู่ทั่วทุกทิศทางก็กลับมายืนตัวอย่างเป็นระเบียบยืนยาวไปตามสนาม ยืนอย่างตั้งใจ เมื่อเขาผ่านสวนสนาม อย่างไรก็ดี เมื่อแอนโดรนิคัสได้จากไปแล้ว โรมูลัสก็คือผู้นำอันแท้จริงของอาณาจักรจักรวรรดิและเป็นผู้ที่นักรบต่างให้ความเคารพมากที่สุด จนกระทั่งความพ่ายแพ้ของเขาในวันนี้ ในตอนนี้ หลังจากที่ต้องปราชัย เขาไม่รู้ว่าผู้คนจะมองเขาเป็นอย่างไร

ความพ่ายแพ้นั้นยังไม่ได้เป็นเวลาที่แย่ที่สุด มันเป็นชั่วขณะที่โรมูลัสกำลังพยายามก่อร่างรัฐประหารเตรียมตัวที่จะฉกฉวยอำนาจและขับไล่แอนโดรนิคัสออกไป ขณะที่เขาผ่านไปทั้งเมืองที่พิถีพิถันนี้อย่างเจ็บปวด ผ่านน้ำพุ ผ่านทางเดินไปยังสวนที่ปูทางไว้อย่างวิจิตรมีทหารรับใช้และข้าทาสอยู่ทั่วทุกที่ เขาประหลาดใจที่กลับมาในสภาพแบบนี้ เขาเคยจินตนาการเอาไว้ว่า จะกลับมาพร้อมกับดาบแห่งโชคชะตาในมือ จะมีพลังอำนาจมากกว่าที่เคย แต่เขากลับต้องหวนคืนมาในฐานะคนไร้สมรรถภาพ ตอนนี้แทนที่เขาจะอ้างถึงอำนาจและสิทธิชอบธรรมของเขา เขากลับต้องมาขอโทษต่อหน้าสภา แล้วหวังว่าจะไม่สูญเสียตำแหน่งของเขาไป

ณ ที่ประชุมสภาอันสูงสุด ความคิดที่บิดเบี้ยวอยู่ด้านในใจของโรมูลัสยังคงอยู่ เขาไม่ใช่คนที่จะต้องขึ้นอยู่กับใครทั้งสิ้น พวกที่อยู่ในสภาเป็นเพียงประชาชนที่ไม่เคยแม่แต่จะจับดาบมาก่อน แต่ละคนมาจากสิบสองจังหวัดที่อยู่ในอาณาจักรจักรวรรดิที่ส่งตัวแทนแต่ละที่มาสองคน รวมเป็นผู้นำรวมสองโหลจากทั่วทุกมุมของอาณาจักร แต่ทางทฤษฎีแล้ว พวกเขาเป็นผู้ปกครองจักรวรรดิ แต่ในความจริงแล้ว แอนโดรนิคัสเป็นผู้ปกครองและ สภาก็ทำตามคำสั่งของเขา

แต่เมื่อเวลาที่แอนโดรนิคัสได้จากไปสู่อาณาจักรวงแหวนเขาได้ให้อำนาจของสภามากกว่าที่เคย โรมูลัสคาดว่าที่แอนโดรนิคัสกระทำเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันตัวเขาเองและทำให้โรมูลัสถูกตรวจสอบ เพื่อให้แน่ใจว่าบัลลังก์จะคงอยู่ เมื่อเขาหวนคืนมา พวกสมาชิกของสภาเคลื่อนตัวอย่างกล้าหาญเข้ามาในสภา พวกเขาแสดงท่าทางราวกับว่าพวกเขามีอำนาจเหนือโรมูลัส โรมูลัสต้องกระทำตามเช่นนั้น ในตอนนี้ที่เขาต้องทนทุกข์กับการเสียเกียรติและต้องตอบคำถามกับประชาชนพวกนี้ พวกเขาก็เป็นคนที่ถูกเลือกมาจากเพื่อนสนิทของแอนโดรนิคัส ประชาชนที่แอนโดรนิคัสได้ไปปกป้อง เพื่อให้มั่นใจว่าบัลลังก์ของเขาจะไม่สูญไป พวกสภาพยามตามหาเหตุผลที่มีน้ำหนักให้แอนโดรนิคัสและทำให้การคุกคามใดๆ ต่อเขานั้นอ่อนลงโดยเฉพาะกับโรมูลัส และการพ่ายแพ้ของเขาก็ทำให้มันดูเป็นโอกาสที่สมบูรณ์แบบ

โรมูลัสเดินมาตามทางไปสู่อาคารรัฐสภาที่เปล่งปลั่งใหญ่โต มันมีสีดำมันซึ่งเป็นตึกรูปวงกลมที่สูงเสียดฟ้า มันล้อมรอบไปด้วยเสาสีทองและมีด้านบนเป็นหลังคาโดมสีทองสุกสว่าง มันมีผืนธงของจักรวรรดิปลิวไสว พร้อมกับมีประตูที่ฝังสัญลักษณ์ของสิงโตทองคาบอินทรีย์ในปาก

ขณะที่โรมูลัสกำลังขึ้นบันไดทองคำนับร้อยขั้น ทหารของเขาก็ยืนรออยู่ที่ลานกว้าง เขาเดินมาเพียงลำพัง เดินไปทีละสามขั้น ไปยังประตูของอาคารรัฐสภา อาวุธของเขาส่งเสียงกระทบดังเข้ากับชุดเกราะในขณะที่เขาเดินไป

ประตูขนาดใหญ่ด้านบนที่สุดของขั้นบันไดนั้นจะต้องใช้มหาดเล็กถึงหนึ่งโหลในการเปิดมัน ประตู สูงขึ้นไปห้าสิบฟุตมันทำจากทองคำเปล่งปลั่งและประดับไปด้วยเม็ดดุมสีดำทั่วทั้งหมดแต่ลาโดมก็จะสลักสัญลักษณ์นูนของจักรวรรดิพวกเขา เปิดประตูไปตลอดทางแล้วอร่อก็รู้สึกถึงกระแสลมที่ตัดผ่านมาอย่างเยือกเย็นมันทำให้ ขนของเขาลุกขึ้นฉันบนผิวขณะที่เขาเดินเข้าไปด้านนายที่มืดสลัวประตูขนาดใหญ่ก็ปิดลงอยู่ด้านหลังและเขารู้สึกราวกับว่าเขาเข้ามาในอาคารนี้เพื่อถูกฝังลงยังสุสาน

โรมูลัสเดินอย่างวางมาดข้ามผ่านไปทั้งห้องบนพื้นหินอ่อน เสียงรองเท้าบู้ทสะท้อนขึ้นมา เขากัดกรามแน่น เขาต้องการที่จะทำให้การประชุมนี้เสร็จสิ้นเสียที เพื่อจะได้ไปทำสิ่งอื่นที่สำคัญกว่า เขาเคยได้ยินเรื่องลือเกี่ยวกับอาวุธที่มหัศจรรย์ ก่อนที่จะเข้ามาในนี้ เขาต้องการรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ถ้ามันจริงมันก็จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง มันก็จะทำให้อำนาจถูกเปลี่ยนข้าง ถ้ามันมีอยู่จริงๆ แล้วละก็ คนของแอนโดรนิคัสทั้งหมดในสภานี่ ก็จะไม่มีความหมายอะไรสำหรับเขาอีก จริงๆ แล้วในที่สุด อาณาจักรจักรวรรดิทั้งหมดก็จะต้องตกเป็นของเขา เมื่อคิดถึงอาวุธชิ้นนั้น มันทำให้โรมูลัสรู้สึกมั่นใจและเชื่อมั่น ในขณะเขาก้าวเดินขึ้นบันไดไปอีกหนึ่งชุด ไปถึงประตูที่สูงใหญ่อีกชั้นและในที่สุด เขาก็เข้ามาถึงในห้องประชุมสภาอันสูงสุด

ข้างในห้องโถงใหญ่เป็นสีดำ มีโต๊ะรูปวงกลมที่ว่างเปล่าตรงจุดศูนย์กลาง มีทางผ่านแคบๆ สำหรับให้ผ่านเข้าไปได้ทีละคน ผู้ที่นั่งอยู่รอบโต๊ะ คือสภาที่ปรึกษาที่มีอยู่ด้วยกันยี่สิบสี่คน พวกเขาสวมใส่เสื้อคลุมสีดำนั่งกันอย่างหน้านิ่วเคร่งขรึม เป็นพวกผู้ชายแก่ๆ ที่มีเขาสีเทาและตาสีเลือดหมูที่เหมือนเป็นสีแดงซึมออกมา เพราะอายุที่แก่ชรา มันเหมือนเป็นการหมิ่นเกียรติที่โรมูลัสต้องมาเผชิญหน้ากับพวกเขาต้องเดินผ่านทางแคบๆเพื่อเข้าไปถึง. ศูนย์กลางของโต๊ะและถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนที่เขาต้องรายงาน มันรู้สึกขายหน้าที่ต้องถูกบังคับให้หันไปรายงานกับพวกเขา ทั้งห้องนี้ทั้งโต๊ะตัวนี้ มันก็คือกลยุทธ์การข่มขู่ของแอนโดรนิคัสอีกอันหนึ่งที่ใช้กับเขา

โรมูลัสยืนอยู่ณจุดศูนย์กลางของห้องในความเงียบ เขาไม่รู้ว่ามันจะใช้เวลานานเท่าไหร่ที่เขาต้องถูกเผาอยู่ตรงนี้ เขารู้สึกถูกกระตุ้นให้เดินออกไป แต่เขาต้องหยุดตัวเองไว้

"โรมูลัสแห่งกองอ็อกทากิ้น" หนึ่งในสภาที่ปรึกษากล่าวอย่างเป็นทางการ

โรมูลัสหันไปเห็นที่ปรึกษาเป็นชายแก่ มีร่างผอม มีแก้มกลวงโบ๋และผมสีเทาที่มองเขากลับมาด้วยสายตาสีเลือดหมู ผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนสนิทของแอนโดรนิคัส แล้วโรมูลัสรู้ว่าตัวเขาจะต้องพูดอะไรที่เป็นที่ชื่นชอบของแอนโดรนิคัส

ชายแก่กระแอมลำคอ

"เจ้ากลับมาจากเมืองโวลูเซียด้วยความแพ้พ่ายอย่างน่าอดสู เจ้ากล้าหาญมากที่มาถึงยังที่นี่"

"เจ้ากลายเป็นผู้บังคับบัญชาที่สะเพร่าและทำอะไรอย่างเร่งเร้า"

โรมูลัสหันไปเห็นสายตาที่ดูถูกดูหมิ่นจ้องกลับมาจากอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะวงกลม

"เจ้าสูญเสียกำลังคนไปหลายพัน จากการตามหาดาบที่ไร้ประโยชน์ ในการเผชิญหน้าอย่างสะเพร่ากับมังกร เจ้าได้ทำให้แอนโดรนิคัสและทั้งจักรวรรดิต้องผิดหวัง เจ้ามีอะไรจะพูดเกี่ยวกับตัวเองหรือไม่?"

โรมูลัสมองจ้องกลับไปอย่างท้าทาย

"ข้าไม่มีอะไรจะขอโทษ" เขากล่าวมา "การนำดาบกลับคืนมาเป็นสิ่งที่สำคัญของจักรวรรดิ"

ชายแก่อีกคนนึงเอนตัวมาข้างหน้า

"แต่เจ้า กอบกู้มันคืนมาไม่ได้ ใช่หรือไม่?"

โรมูลัสหน้าแดงขึ้นมา เขาอยากจะฆ่าผู้ชายคนนี้ถ้าเขาทำได้

"ข้าเกือบจะทำได้แล้ว" เขาตอบกลับมาในที่สุด

"เกือบจะทำได้ มันไม่ได้ มีความหมายอะไรเลย"

"พวกเราต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคที่ไม่คาดคิด"

"มังกร งั้นหรือ?" สมาชิกในสภาท่านหนึ่งให้ข้อสังเกต

โรมูลัสหันไปมองหน้าเขา

"เจ้าช่างบ้าระห่ำอะไรเช่นนี้?" สมาชิกในสภาอีกท่านหนึ่งกล่าว "เจ้าคิดว่าเจ้าจะชนะอย่างงั้นหรือ?"

โรมูลัสกระแอมลำคอขึ้น เมื่อความโกรธพุ่งสูงขึ้นมา

"ข้าไม่ได้หวัง จุดมุ่งหมายของข้าไม่ได้ต้องการจะฆ่ามังกร แต่เพื่อจะนำดาบกลับคืนมา"

"แต่ขอพูดอีกครั้ง เจ้าทำไม่ได้"

"ที่แย่ไปกว่านั้น" สมาชิกอีกท่านหนึ่งกล่าว "เจ้าได้ปล่อยมังกรให้มาปะทะกับเรา ได้มีรายงานถึงการโจมตีจากมังกรเกิดขึ้นอยู่ทั่วจักรวรรดิ เจ้าได้เริ่มสงครามที่เราเอาชนะไม่ได้ มันเป็นความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ"

โรมูลัสหยุดความพยายามที่จะโต้ตอบ เขารู้ว่ามันก็จะนำไปสู่ข้อกล่าวหาและการแย้งกลับมา อย่างไรก็ดี พวกนี้คือคนของแอนโดรนิคัสและพวกเขาก็มีระเบียบวาระของตัวเอง

“มันน่าเสียดายที่ท่านแอนโดรนิคัสผู้ยิ่งใหญ่ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย เพื่อจะลงโทษแก่เจ้า” หนึ่งในคณะกรรมการสภากล่าว “ข้ามั่นใจว่า เขาจะไม่ปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่อีกต่อไป” เขากระแอมลำคอและนั่งพิงไปด้านหลัง “แต่ในเมื่อเขาไม่อยู่ เราจะต้องรอคอยการกลับมาของเขา ตอนนี้เจ้าก็จะควบคุมกองทัพที่ส่งกองเรือออกไปสนับสนุนท่านแอนโดรนิคัสผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรวงแหวน เจ้าจะถูกลดขั้นลง ถูกถอดยศและถอดอาวุธออก ให้เจ้าอยู่ในที่พักและรอคอยคำสั่งอื่นๆจากพวกเรา”

โรมูลัสจ้องกลับไปโดยไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“จงดีใจที่เราไม่ได้ประหารเจ้าในที่นี้ ตอนนี้ไปได้แล้ว” หนึ่งในสมาชิกสภากล่าวขึ้น

โรมูลัสกำหมัดของเขาใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีม่วง เขามองลงไปยังใบหน้าของคณะกรรมการแต่ละคน เขาปฏิญาณว่าจากฆ่าสังหารพวกนี้ ทีละคนจนครบทุกคน แต่เขาบังคับตัวเองให้หลีกเลี่ยง บอกตัวเองว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา เขาจะต้องได้รับความพอใจจากการฆ่าพวกเขาทั้งหมดแน่นอน แต่มันก็จะไม่ได้ทำให้เขาสำเร็จตามเป้าประสงค์

โรมูลัสหันหลังกลับและเดินย่ำกระหน่ำออกไปจากห้อง เสียงรองเท้าบู้ทดังสะท้อน เขาเดินไปผ่านประตูที่มหาดเล็กเปิดมันให้เขาและปิดมันดังลั่นอยู่ด้านหลัง

โรมูลัสเดินออกมาจากอาคารรัฐสภา เดินลงไปยังขั้นบันไดทองทำ แล้วไปยังกลุ่มทหารที่รอคอยเขาอยู่ เขาออกคำสั่งกับนายทหารยศรองลงมา

"นายท่าน" นายพลกล่าวขณะก้มหัวลง "คำสั่งของท่านคืออะไร?"

โรมูลัสจ้องกลับไปขณะที่กำลังคิด จริงอยู่ที่เขาไม่สมควรจะกระทำตามคำสั่งของคณะกรรมการสภา ในทางกลับกัน ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่จะคัดค้านฝ่าฝืนคำสั่ง

"มันคือคำสั่งของคณะสภาที่สั่งให้เรือรบจักรวรรดิที่อยู่ในน่านน้ำกลับมายังชายฝั่งของเราเดี๋ยวนี้"

สายตาของเหล่านายพลต่างเบิกกว้าง

"แต่นายท่าน นั่นจะเป็นการทำให้แอนโดรนิคัสผู้ยิ่งใหญ่ ถูกทิ้งไว้ในอาณาจักรวงแหวนและก็จะไม่มีทางกลับมายังบ้านเกิดได้"

โรมูลัสหันไปมองจ้องพวกเขาด้วยสายตาเย็นช้า

“อย่าตั้งคำถามกับข้า” เขาตอบมาในเสียงที่แข็งกระด้าง

นายพลก้มหัวของเขาลงได้

"ครับ นายท่าน ให้อภัยข้าด้วย" นายพลหันไปแล้วรีบเร่ง โรมูลัสรู้ดีว่าเขาควรจะกระทำตามคำสั่ง เขาเป็นทหารที่มีความจงรักภักดี

โรมูลัสยิ้มอยู่ภายในใจพวกกรรมการโง่เง่านั่นคิดว่าเขาจะ ทำตามพวกเขาจะยึดถือคำสั่งของพวกเขา พวกเขาประเมินตัวเขาต่ำไปอย่างมากจากนี้ไปพวกเขาจะไม่มีใครมาบังคับรถคันตำแหน่งของเขาได้จน กว่าที่พวกนั้นจะรู้ตัวโรมูลัสก็จะมีอำนาจแล้วก็จะ ออกคำสั่งเพื่อป้องกันให้พวกเขาเหล่านั้นมีอำนาจเหนือตัวเขาเองแอนโดรนิคัสป็นผู้ยิ่งใหญ่ แต่โรมูลัสนั้นยิ่งใหญ่กว่า





Конец ознакомительного фрагмента. Получить полную версию книги.


Текст предоставлен ООО «ЛитРес».

Прочитайте эту книгу целиком, купив полную легальную версию (https://www.litres.ru/pages/biblio_book/?art=43698279) на ЛитРес.

Безопасно оплатить книгу можно банковской картой Visa, MasterCard, Maestro, со счета мобильного телефона, с платежного терминала, в салоне МТС или Связной, через PayPal, WebMoney, Яндекс.Деньги, QIWI Кошелек, бонусными картами или другим удобным Вам способом.



Если текст книги отсутствует, перейдите по ссылке

Возможные причины отсутствия книги:
1. Книга снята с продаж по просьбе правообладателя
2. Книга ещё не поступила в продажу и пока недоступна для чтения

Навигация