Читать онлайн книгу "กำเนิดราชันย์มังกร"

กำเนิดราชันย์มังกร
มอร์แกน ไรซ์


กษัตริย์และผู้วิเศษ #1
“ถ้าคุณประทับใจกับเรื่องวงแหวนของผู้วิเศษ คุณจะคาดไม่ถึงกับ กำเนิดราชันย์มังกร ของ มอร์แกน ไรซ์ ที่มาพร้อมกับการดำเนินเรื่องอันยอดเยี่ยม ผู้อ่านจะได้เพลิดเพลินไปกับเรื่องราวแฟนตาซีของเหล่าโทรลและมังกร เกียรติยศ ศักดิ์ศรี ความกล้าหาญ เวทมนตร์และความศรัทธาในโชคชะตา นี่เป็นอีกครั้งที่มอร์แกนสร้างตัวละครที่เข้มข้น ทำให้เราลุ้นตามในทุกหน้า…แนะนำเรื่องนี้สำหรับนักอ่านทุกคนที่ชอบเรื่องราวแฟนตาซี คุณจะหลงรักไปกับเนื้อเรื่องที่ยอดเยี่ยม”–Books and Movie Reviews, Roberto Mattos หนังสือขายดีอันดับ 1! เรื่องราวจาก มอร์แกน ไรซ์ ผู้แต่งขายดีอันดับ 1 มาพร้อมกับนิยายชุดมหากาพย์แฟนตาซีใหม่ล่าสุด กำเนิดราชันย์มังกร (กษัตริย์และผู้วิเศษ เล่ม 1) ไคร่า เด็กผู้หญิงอายุ 15 ปี ใฝ่ฝันที่จะกลายเป็นนักรบที่มีชื่อเสียงดังเช่นบิดาของเธอ แม้ว่าเธอจะเป็นเด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวในป้อมปราการที่มีแต่ผู้ชาย เธอพยายามเข้าใจทักษะพิเศษของตัวเอง พลังลึกลับที่มีอยู่ภายในตัวของเธอ เธอรู้ว่าเธอแตกต่างจากผู้อื่น แต่ความลับเกี่ยวกับการกำเนิดของเธอและคำทำนายยังคงถูกเก็บซ่อนเอาไว้ เธอสงสัยว่าแท้จริงแล้วเธอเป็นใครกันแน่ เมื่อไคร่าอายุถึงเกณฑ์ที่กำหนด ลอร์ดผู้ว่าเดินทางมาเพื่อรับตัวเธอ บิดาของเธอหาทางออกด้วยการให้เธอรีบแต่งงาน แต่ไคร่าปฏิเสธ เธอหนีออกจากเมือง และมุ่งหน้าสู่ป่าที่อันตราย ที่ซึ่งเธอพบกับมังกรที่ได้รับบาดเจ็บ – และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวต่าง ๆ มากมายที่จะเปลี่ยนแปลงอาณาจักรแห่งนี้ไปตลอดกาล อเล็คอายุ 15 ปี เขายอมเสียสละตัวเองเพื่อช่วยเหลือพี่ชายของเขาด้วยการขออาสาเกณฑ์ทหารแทน และเดินทางมุ่งหน้าไปยังกำแพงอัคคี กำแพงแห่งเปลวไฟสูงหลายร้อยฟุต ซึ่งคอยป้องกันกองทัพโทรลที่อยู่ติดกับอาณาจักรทางตะวันออก เมิร์คผู้เป็นนักรบรับจ้างพยายามอย่างสุดชีวิตที่จะละทิ้งอดีตอันมืดมนของเขา เขาเดินทางผ่านป่าเพื่อแสวงหาหนทางในกลายเป็นผู้เฝ้ามองแห่งหอคอยเยอร์ และช่วยปกป้องดาบแห่งไฟ ต้นกำเนิดพลังเวทมนตร์ของอาณาจักร แต่พวกโทรลก็ต้องการดาบเช่นกัน – และพวกมันกำลังเตรียมแผนการรุกรานครั้งใหญ่เพื่อทำลายอาณาจักรให้สิ้นซาก เส้นทางการต่อสู้ที่เข้มข้นและตัวละครที่ซับซ้อน กำเนิดราชันย์มังกร เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเหล่าอัศวินและนักรบ พระราชาและท่านลอร์ด เกียรติยศและศักดิ์ศรี เวทมนตร์และโชคชะตา สัตว์ประหลาดและมังกร ความรักและหัวใจที่แตกสลาย การหลอกลวง ความทะเยอทะยานและการหักหลัง นิยายแฟนตาซีอันยอดเยี่ยมที่จะพาเราเข้าสู่การผจญภัยในอีกโลกหนึ่ง การดำเนินเรื่องที่น่าสนใจเหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย เล่ม 2 ของ กษัตริย์และผู้วิเศษ จะได้รับการเผยแพร่เร็ว ๆ นี้ “กำเนิดราชันย์มังกรประสบความสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้น…นิยายแฟนตาซีอันยอดเยี่ยม…เปิดเรื่องได้อย่างน่าสนใจ พร้อมการต่อสู้ของตัวละครและความประณีตในการผสมผสานอัศวิน มังกร เวทมนตร์ สัตว์ประหลาด และโชคชะตา…องค์ประกอบทั้งหมดของโลกแฟนตาซีรวมอยู่ที่นี่ ตั้งแต่ทหารและการสู้รบที่ต้องเผชิญหน้า…เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเรื่องราวแฟนตาซีอันยิ่งใหญ่และตัวละครที่ทรงพลัง” –Midwest Book Review โดย D. Donovan นักวิจารณ์อีบุค





Morgan Rice

กำเนิดราชันย์มังกร (กษัตริย์และผู้วิเศษ เล่ม 1)




มอร์แกน ไรซ์

มอร์แกน ไรซ์ เป็นผู้แต่งหนังสือขายดีอันดับ 1 และเป็นผู้แต่งมหากาพย์แฟนตาซีที่ขายดีที่สุดใน USA Today นิยายชุดวงแหวนของผู้วิเศษ จำนวน 17 เล่ม นิยายชุดขายดีอันดับ 1 บันทึกของแวมไพร์ จำนวน 11 เล่ม (และยังมีเล่มต่อไป) นิยายชุดขายดีอันดับ 1 เรื่อง THE SURVIVAL TRILOGY เรื่องราวระทึกขวัญหลังวันโลกาวินาศ จำนวน 2 เล่ม (และยังมีเล่มต่อไป) และนิยายชุดเรื่องราวแฟนตาซีใหม่ล่าสุด กษัตริย์และผู้วิเศษ หนังสือของ มอร์แกน มีทั้งรูปแบบเสียงและสิ่งพิมพ์ และได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากกว่า 25 ภาษา

มอร์แกน ยินดีรับฟังความคิดเห็นของคุณ โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.morganricebooks.com เพื่อสมัครรับข่าวสารทางอีเมล พร้อมรับหนังสือฟรีและของรางวัลมากมาย สามารถดาวน์โหลดแอปฟรี เพื่อรับข่าวสารล่าสุด หรือเชื่อมต่อกับ Facebook และ Twitter โปรดติดตาม!



คำนิยมสำหรับ มอร์แกน ไรซ์

“เรื่องราวแฟนตาซีที่เชื่อมโยงองค์ประกอบของความลึกลับและการวางแผน เส้นทางแห่งวีรบุรุษ เกี่ยวข้องกับการสร้างความกล้าหาญและการตระหนักถึงเป้าหมายของชีวิตที่จะนำไปสู่การเติบโต ความเป็นผู้ใหญ่ และความดีงาม…เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหานิยายแนวผจญภัยแฟนตาซี ตัวละครสำคัญ อุปกรณ์ และการกระทำที่ส่งผลให้ชีวิตของธอร์เปลี่ยนแปลงจากเด็กช่างฝันสู่วัยรุ่นที่กำลังเผชิญหน้ากับเรื่องราวอันเหลือเชื่อเพื่อเอาชีวิตรอด…นั่นเป็นแค่เพียงการเริ่มต้นของนิยายชุดวัยรุ่นที่ยอดเยี่ยม”



    --Midwest Book Review (D. Donovan นักวิจารณ์อีบุค)

“วงแหวนของผู้วิเศษ มีส่วนผสมทุกอย่างของการประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นโครงเรื่องหลัก โครงเรื่องย่อย ความลึกลับ อัศวินผู้กล้าหาญ ความสัมพันธ์ที่แบ่งบานพร้อมกับการอกหัก การหลอกลวงและการทรยศ คุณจะเพลิดเพลินได้หลายชั่วโมง และเป็นที่ชื่นชอบของทุกวัย แนะนำให้มีประจำไว้ในห้องสมุดสำหรับคอนักอ่านแนวแฟนตาซี”



    --Books and Movie Reviews, Roberto Mattos

“เรื่องราวแฟนตาซีแสนสนุกของไรซ์ [วงแหวนของผู้วิเศษ] มีเนื้อหาสุดคลาสสิค การจัดวางเรื่องราวที่เข้มข้น ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวและประวัติศาสตร์ของสกอตแลนด์ยุคโบราณ รวมถึงความฉลาดในการวางแผน”



    —Kirkus Reviews

“ฉันชอบวิธีการสร้างตัวละครธอร์ของมอร์แกน และโลกที่เขาอาศัยอยู่ ภูมิประเทศ รวมถึงสัตว์ประหลาดที่ได้รับการใส่ใจรายละเอียดเป็นอย่างดี…ฉันมีความสุข [เนื้อเรื่อง] เรื่องราวที่กระชับและกลมกล่อม…มีความเหมาะสมของจำนวนตัวครที่บทบาทน้อย ดังนั้นฉันจึงไม่รู้สึกสับสน เรื่องราวประกอบด้วยการผจญภัยและการลุ้นระทึก ฉากต่อสู้ไม่ได้ประหลาดมากจนเกินไป หนังสือเล่มนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักอ่านวัยรุ่น…จุดเริ่มต้นของบางอย่างที่น่าจดจำ…”



    --San Francisco Book Review

“หนังสือเล่มแรกนี้อัดแน่นไปด้วยการผจญภัย นิยายชุดแฟนตาซีเรื่อง วงแหวนของผู้วิเศษ (ปัจจุบันมี 14 เล่ม) ไรซ์ได้แนะนำให้ผู้อ่านรู้จัก “ธอร์” ธอร์กริน แม็คคลอยด์ อายุ 14 ปี ที่ฝันอยากเข้าร่วมกองรบเงิน กองกำลังอัศวินชั้นยอดของพระราชา…การเขียนของไรซ์โดดเด่นและนำเสนอเรื่องราวได้น่าสนใจ”



    --Publishers Weekly

“[เส้นทางแห่งวีรบุรุษ] เป็นหนังสือที่กระชับและอ่านง่าย ตอนท้ายของแต่ละตอนจะทำให้คุณอยากรู้จะว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนต่อไป คุณจะประทับใจจนวางไม่ลง การพิมพ์ผิดในหนังสือและบางชื่ออาจดูสับสนอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ทำให้เรื่องราวโดยรวมทั้งหมดเสียรสชาติ ตอนจบทำให้ฉันอยากอ่านเล่มถัดไปทันที นิยายชุดวงแหวนของผู้วิเศษทุกเล่มสามารถสั่งซื้อได้ที่ร้านค้า Kindle และตอนนี้เส้นทางแห่งวีรบุรุษสามารถเริ่มอ่านได้ฟรี! หากคุณกำลังมองหานิยายที่กระชับและสนุกสำหรับวันหยุด หนังสือเล่มนี้คือตัวเลือกที่ดีอย่างยิ่ง



    --FantasyOnline.net



หนังสือของ มอร์แกน ไรซ์

กษัตริย์และผู้วิเศษ

กำเนิดราชันย์มังกร (เล่ม 1)



วงแหวนของผู้วิเศษ

เส้นทางแห่งวีรบุรุษ (เล่ม 1)

ขบวนแห่งกษัตริย์ (เล่ม 2)

A FATE OF DRAGONS (เล่ม 3)

A CRY OF HONOR (เล่ม 4)

A VOW OF GLORY (เล่ม 5)

A CHARGE OF VALOR (เล่ม 6)

A RITE OF SWORDS (เล่ม 7)

A GRANT OF ARMS (เล่ม 8)

A SKY OF SPELLS (เล่ม 9)

A SEA OF SHIELDS (เล่ม 10)

A REIGN OF STEEL (เล่ม 11)

A LAND OF FIRE (เล่ม 12)

A RULE OF QUEENS (เล่ม 13)

AN OATH OF BROTHERS (เล่ม 14)

A DREAM OF MORTALS (เล่ม 15)

A JOUST OF KNIGHTS (เล่ม 16)

THE GIFT OF BATTLE (เล่ม 17)



THE SURVIVAL TRILOGY

ARENA ONE: SLAVERSUNNERS (เล่ม 1)

ARENA TWO (เล่ม 2)



บันทึกของแวมไพร์

กลายร่าง (เล่ม 1)

ความรัก (เล่ม 2)

การทรยศ (เล่ม 3)

พรหมลิขิต (เล่ม 4)

ความปรารถนา (เล่ม 5)

การหมั้นหมาย (เล่ม 6)

คำสาบาน (เล่ม 7)

การค้นหา (เล่ม 8)

ฟื้นคืนชีพ (เล่ม 9)

การโหยหา (เล่ม 10)

โชคชะตา (เล่ม 11)








ลิขสิทธิ์ © 2011 โดย มอร์แกน ไรซ์

สงวนลิขสิทธิ์ทั้งหมด ยกเว้นได้รับอนุญาตภายใต้พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ ค.ศ. 1976 ของประเทศสหรัฐอเมริกา ห้ามนำส่วนใดของการตีพิมพ์นี้ไปทำซ้ำ แจกจ่ายและเผยแพร่ในรูปแบบใด ๆ หรือโดยการกระทำใด ๆ หรือจัดเก็บในฐานข้อมูล หรือระบบสืบค้น โดยไม่ได้รับการอนุญาตจากผู้แต่ง

หนังสืออีบุคนี้ อนุญาตเพื่อความบันเทิงส่วนตัวของคุณเท่านั้น และอีบุคเล่มนี้ไม่อนุญาตให้นำไปจำหน่ายต่อหรือยกให้กับบุคคลอื่น ถ้าคุณต้องการแบ่งปันหนังสือเล่มนี้กับบุคคลอื่น โปรดสั่งซื้อหนังสือเพิ่มเติมสำหรับแต่ละคน ถ้าคุณกำลังอ่านหนังสือเล่มนี้และไม่ได้ซื้อ หรือไม่ได้ซื้อในนามของคุณ โปรดส่งคืนและดำเนินการสั่งซื้อในนามของคุณเอง ขอบคุณที่ให้ความเคารพกับผลงานที่ผู้แต่งได้ทุ่มเท

หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องแต่ง ชื่อ ตัวละคร ธุรกิจ องค์กร สถานที่ เหตุการณ์ และสถานการณ์ต่าง ๆ ล้วนเกิดจากจินตนาการของผู้แต่ง หรือได้รับการแต่งขึ้นมา ความคล้ายคลึงใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลจริง ทั้งที่มีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตไปแล้ว เป็นเหตุบังเอิญทั้งสิ้น

Jacket image Copyright Photosani ใช้ภายใต้ใบอนุญาตจาก Shutterstock.com








“บางคราเราเป็นนายโชคชะตา

อันความผิดมิตรเอยเฉลยเอา

ใช่ดวงดาวพราวเพราเจ้าบันดาล”

    --วิลเลียม เชกสเปียร์
    จูเลียส ซีซาร์






บทที่หนึ่ง


ไคร่ายืนอยู่บนเนินเขาขนาดเล็ก เหนือพื้นหิมะที่แข็งตัวใต้รองเท้าบูทของเธอ หิมะกำลังตก เธอพยายามไม่สนใจต่อความหนาวเหน็บที่เกาะกินผิวกายในขณะที่ยกคันธนูขึ้นมาและเล็งไปยังเป้าหมาย เธอหรี่ตาลง ไม่รับรู้ถึงกระแสลม เสียงแว่วของอีกา และสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เธอเพ่งสมาธิไปยังต้นเบิร์ชสีขาวสูงโปร่งที่ไกลออกไป ซึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเด่นท่ามกลางป่าสนสีม่วง ระยะสี่สิบหลานี้คือการยิงที่บรรดาพี่น้อง หรือแม้แต่ลูกน้องของพ่อเธอก็ไม่สามารถทำได้ นั่นทำให้เธอรู้สึกแน่วแน่มากยิ่งขึ้น เธอเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่ม และเป็นเด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวในหมู่พวกเขา

ไคร่าไม่เคยรู้สึกว่าตัวเธอเหมาะกับที่นี่ เธออยากทำในสิ่งที่ต้องการ ใช้เวลาเล่นกับเด็กผู้หญิงคนอื่น ๆ และเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ แต่ลึกลงไป มันไม่ใช่สิ่งที่เธอเป็นอยู่ เธอคือลูกสาวของพ่อ เธอมีจิตวิญญาณแห่งนักรบ และเธอไม่ควรถูกขังไว้หลังกำแพงหินของฐานที่มั่น เธอจะไม่ยอมจำนนต่อชีวิตที่ต้องอยู่ข้างเตาผิง ความแม่นยำของเธอยอดเยี่ยมกว่าพวกเขาเหล่านั้น ทักษะการยิงธนูอันเฉียบขาดของเธอสามารถเอาชนะพ่อของเธอได้ และเธอจะทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ตัวเอง เหนือสิ่งอื่นใดคือการทำให้พ่อมองเห็นว่าเธอสมควรได้รับความเคารพอย่างจริงจัง เธอรู้ดีว่าพ่อรักเธอ แต่เขาไม่ได้มองสิ่งที่เธอเป็นอยู่ในสายตา

ไคร่าฝึกซ้อมการยิงธนูเพียงลำพัง บนทุ่งโวลิสที่อยู่ห่างจากป้อมปราการซึ่งเหมาะกับเธออย่างยิ่ง ไคร่าเป็นเด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวในปราการของนักรบ เธอจึงต้องเรียนรู้ถึงความโดดเดี่ยว เธอปลีกตัวมาที่นี่ทุกวัน จุดที่เธอชอบมากที่สุดคือบนเนินสูงที่สามารถมองเห็นกำแพงหินของป้อมได้ทั้งหมด ที่ซึ่งเธอสามารถหาต้นไม้ดี ๆ สำหรับใช้เป็นเป้า เสียงของลูกธนูที่พุ่งออกไปกลายเป็นเสียงสะท้อนที่ดังไปทั่วหุบเขา ต้นไม้ที่นี่ไม่ครณามือเธออีกต่อไป กิ่งก้านของมันเต็มไปด้วยร่องรอย ต้นไม้บางต้นเริ่มล้มเอียง

พลธนูส่วนใหญ่ของพ่อจะเล็งเป้าไปยังหนูที่วิ่งอยู่บนแนวราบ เมื่อไคร่าเริ่มยิงธนูครั้งแรก เธอทดลองด้วยตัวเอง และพบว่าเธอสามารถฆ่ามันได้อย่างง่ายดาย แต่สิ่งนั้นกลับทำให้เธอรู้สึกคลื่นไส้ เธอเป็นคนกล้าหาญ แต่แฝงไปด้วยอารมณ์อ่อนไหว การฆ่าสิ่งมีชีวิตโดยไม่มีจุดประสงค์ทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจ เธอสาบานกับตัวเองว่าจะไม่เล็งธนูไปยังสิ่งมีชีวิตอีกต่อไป ยกเว้นในกรณีที่ตกอยู่ในอันตรายหรือถูกจู่โจม เช่น หมาป่าค้างคาวที่ปรากฏตัวในตอนกลางคืนและบินเข้ามาใกล้ป้อมปราการ หากเป็นเช่นนี้เธอจะไม่รู้สึกลังเลที่จะยิงพวกมันให้ร่วง โดยเฉพาะหลังจากที่ไอดาน น้องชายคนเล็กของเธอต้องทนทรมานจากการถูกหมาป่าค้างคาวกัด ทำให้เขาล้มป่วยเป็นเวลาครึ่งพระจันทร์ นอกจากนี้มันยังเป็นสัตว์ประหลาดที่เคลื่อนไหวรวดเร็วที่สุดข้างนอกนั่น และเธอรู้ว่าถ้าเธอยิงหมาป่าค้างคาวในเวลากลางคืนได้ เธอก็จะสามารถยิงทุกอย่างได้เช่นกัน เธอเคยใช้เวลาทั้งคืนตอนจันทร์เต็มดวงในการยิงธนูจากหอคอยของพ่อ และหมดแรงตอนรุ่งสาง เธอรู้สึกตกใจที่เห็นกองหมาป่าค้างคาวบนพื้นพร้อมลูกธนูของเธอที่ปักอยู่ ชาวบ้านนับร้อยมารวมตัวกัน และมุงดูด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจ

ไคร่ารวบรวมสมาธิของเธอ นิมิตถึงวิถีการยิงในดวงจิต มองเห็นตัวเธอเองกำลังยกคันธนูขึ้นมา ง้างไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว และปล่อยลูกธนูโดยไม่ลังเลใจ เธอรับรู้ได้ว่าการยิงธนูที่แท้จริงนั้นเกิดขึ้นก่อนที่จะยิงมันออกไป เธอเห็นนักธนูรุ่นราวคราวเดียวกับเธอหลายคนในวัย 14 ปี พวกเขาดึงคันธนูและแกว่งไปมา ไคร่ารู้ดีว่านั่นจะทำให้การยิงของพวกเขาไม่ได้เรื่อง เธอสูดหายใจลึก ยกธนูขึ้น ภายในการเคลื่อนไหวที่เฉียบขาดเพียงครั้งเดียว เธอง้างธนูและปล่อยออกไป โดยที่ไม่จำเป็นต้องมองดูว่าลูกธนูนั้นพุ่งไปโดนต้นไม้หรือไม่

เสียงของลูกธนูปักลงบนต้นไม้หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ แต่เธอได้หันหลังกลับเรียบร้อยแล้ว และกำลังมองหาเป้าใหม่ซึ่งอยู่ไกลออกไป

ไคร่าได้ยินเสียงร้องครางที่เท้า เธอมองลงมายังเลโอ หมาป่าของเธอที่เดินอยู่ข้าง ๆ ซึ่งกำลังคลอเคลียกับขาของเธอ เหมือนอย่างที่มันเคยทำเสมอมา เลโอเป็นหมาป่าโตเต็มวัย สูงเกือบเท่าเอวของเธอ เลโอคือผู้คุ้มกันของไคร่า เช่นเดียวกับไคร่าที่เป็นผู้ดูแลมัน ทั้งคู่ไม่อาจละสายตาจากกัน ไคร่าไม่สามารถไปไหนโดยไม่มีเลโอคอยวิ่งตาม และตลอดเวลาเลโอจะอยู่ข้างกายเธอ เว้นแต่มีกระรอกหรือกระต่ายเข้ามาขวางทางซึ่งมันจะหายไปเป็นชั่วโมง

“ข้าไม่ได้ลืมเจ้า เลโอ” ไคร่าพูด เอื้อมมือลงไปในกระเป๋า แล้วยื่นเศษกระดูกที่เหลือจากวันก่อน เลโอใช้ปากงับและวิ่งเหยาะ ๆ อย่างมีความสุขอยู่ข้างเธอ

เมื่อไคร่าเดินต่อไป อากาศหนาวทำให้ลมหายใจของเธอกลายเป็นไอ เธอพาดธนูไว้เหนือไหล่ หายใจลงบนมืออันเย็นเฉียบที่ไม่มีอะไรสวมใส่ เธอเดินข้ามที่ราบอันกว้างใหญ่และไกลสุดสายตา จากจุดนี้เธอสามารถมองเห็นสภาพโดยรอบได้ทั้งหมด เนินเขาของโวลิสที่ปกติจะเป็นสีเขียว บัดนี้ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ อาณาเขตป้อมปราการของพ่อตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักรเอสคาลอน ที่นี่ทำให้ไคร่าสามารถมองเห็นได้ทั่วว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในป้อมปราการ ชาวบ้านและนักรบกำลังเดินเข้าออกกันอย่างขวักไขว่ ไคร่าชอบศึกษาเรื่องราวโบราณ ป้อมปราการของพ่อสร้างขึ้นจากหิน รูปทรงใบเสมาบนกำแพงและหอคอยแผ่ขยายออกไปตลอดแนวเขาอย่างน่าทึ่ง เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด โวลิสคือสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในชานเมือง บางส่วนของอาคารสูงสี่ชั้นและประกอบด้วยใบเสมาบนกำแพง พร้อมด้วยหอคอยทรงกลมอีกฝั่งที่อยู่ไกลออกไป ที่นี่เป็นโบสถ์สำหรับชาวบ้าน แต่สำหรับไคร่าแล้วมันคือสถานที่สำหรับปีนป่าย เพื่อชมวิวโดยรอบและได้อยู่เพียงลำพัง อาคารหินแห่งนี้ถูกล้อมรอบด้วยคูน้ำ เชื่อมต่อกับสะพานโค้งที่ทำจากหินและถนนสายหลักที่ทอดยาวออกไป ด้านนอกล้อมรอบด้วยเขื่อน เนินเขา คูน้ำ และกำแพง นับเป็นทำเลที่เหมาะสมที่สุดสำหรับหนึ่งในนักรบคนสำคัญของพระราชา ผู้เป็นบิดาของเธอ

แม้ว่าโวลิสจะเป็นปราการด่านสุดท้ายก่อนกำแพงอัคคี ซึ่งต้องใช้เวลาหลายวันในการขี่ม้าไปยังเอนดรอส เมืองหลวงของเอสคาลอน ที่นี่ยังเป็นบ้านเกิดของนักรบผู้มีชื่อเสียงหลายคน นอกจากนี้โวลิสยังกลายเป็นประภาคาร ชาวบ้านและชาวนาหลายร้อยชีวิตได้อาศัยอยู่ข้างในหรือใกล้กับกำแพง ภายใต้การคุ้มครองของมัน

ไคร่ามองลงไปยังกระท่อมสิบสองหลังที่ทำจากดิน ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาด้านนอกป้อม มีควันลอยออกจากปล่องไฟ เหล่าชาวนาต่างเร่งรีบและเดินไปมา พวกเขากำลังเตรียมตัวสำหรับฤดูหนาว และงานเทศกาลตอนกลางคืน การอาศัยอยู่นอกกำแพงหลักทำให้ชาวบ้านรู้สึกปลอดภัย ไคร่ารู้ว่ามันคือสิ่งที่บ่งบอกถึงความยำเกรงที่มีต่ออำนาจของพ่อ และไม่สามารถพบได้จากที่ไหนในเอสคาลอน หากได้ยินแตรสัญญาณอยู่ห่างออกจากการป้องกันดังขึ้น กองกำลังของพ่อเธอจะรุดหน้าไปในทันที

ไคร่ามองดูสะพานยกที่อยู่เบื้องล่าง สะพานแห่งนี้มักเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ชาวนา ช่างซ่อมรองเท้า พ่อค้าเนื้อ ช่างตีดาบ รวมถึงนักรบ ทั้งหมดกำลังเดินเข้าออกป้อมปราการ ภายในกำแพงไม่ใช่สถานที่สำหรับการใช้ชีวิตและฝึกฝนเท่านั้น แต่ยังเป็นลานหินกรวดขนาดใหญ่ซึ่งได้กลายเป็นสถานที่รวมตัวของบรรดาพ่อค้า ทุก ๆ วันแผงลอยมากมายจะวางเรียงรายทอดยาวออกไป ผู้คนต่างค้าขายสินค้า แลกเปลี่ยน คุยโอ้อวดถึงสิ่งที่ล่าหรือจับมาได้ รวมถึงเสื้อผ้าจากต่างแดน เครื่องเทศ และลูกกวาดที่ซื้อขายกันทั่วน่านน้ำ สนามหลังป้อมปราการมักจะเต็มไปด้วยกลิ่นที่ไม่คุ้นเคย บ้างก็เป็นชาจากต่างถิ่น หรือสตูว์ เธอสามารถเดินชมสิ่งเหล่านี้ได้เป็นเวลานาน และเหนือกำแพงที่อยู่ไกลออกไป หัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้นเมื่อได้เห็นสนามฝึกทรงกลมของทหาร ประตูของนักสู้ที่ล้อมรอบด้วยกำแพงหินขนาดเล็ก เธอมองดูด้วยความตื่นเต้น เหล่าทหารม้าพุ่งตัวออกไปด้วยแถวที่เป็นระเบียบ พยายามแทงหอกใส่โล่ที่แขวนอยู่บนต้นไม้ เธอต้องการที่จะฝึกร่วมกับพวกเขา

ทันใดนั้น ไคร่าได้ยินเสียงร้องตะโกนขึ้นมา เสียงที่เธอรู้สึกคุ้นเคยดังมาจากเรือนเฝ้าประตู ไคร่าหันไปมอง มันเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายในฝูงชน เธอมองผ่านความพลุกพล่านที่เนืองแน่นและล้นออกมาบนถนนสายหลัก เผยให้เห็นน้องชายคนเล็กของเธอ ไอดานถูกพาตัวไปโดยแบรนดอนและเบร็กซ์ตัน พี่ชายคนโตสองคนของเธอ ไคร่ารู้สึกตึงเครียดและเตรียมพร้อมรับมือ เธอสามารถรับรู้ได้จากเสียงเศร้าโศกของน้องชายคนเล็กว่าพวกพี่ชายกำลังคิดเรื่องไม่ดีอยู่แน่นอน

ไคร่าหรี่ตาลงในขณะที่มองไปยังพี่ชายทั้งสองของเธอ ความโกรธอันคุ้นเคยกำลังปะทุขึ้นมา เธอบีบคันธนูในมือแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ไอดานกำลังเดินอยู่ระหว่างพวกพี่ชายที่ตัวสูงกว่าประมาณฟุตหนึ่ง แต่ละคนจับแขนของไอดาน ลากเขาออกจากป้อมโดยไม่เต็มใจและเข้าไปยังชานเมือง แววตาของไอดานบ่งบอกถึงความดื้อรั้น ไอดานเป็นเด็กผู้ชายอ่อนไหว ตัวผอม รูปร่างเล็ก อายุเกือบสิบขวบ เขาดูไม่ปลอดภัยอย่างยิ่งเมื่อถูกขนาบข้างด้วยพี่ชายทั้งสองคน พวกพี่ชายอยู่ในช่วงวัยรุ่น พวกเขาอายุสิบเจ็ดและสิบแปดปี ทั้งคู่มีลักษณะและสีผิวคล้ายกัน รวมถึงแนวกรามที่ดูแข็งแรง คางที่ได้รูป ดวงตาสีน้ำตาลเข้มและผมสีน้ำตาลสลวย แบรนดอนและเบร็กซ์ตันสวมใส่กางเกงขาสั้น พวกเขาทั้งหมดดูเหมือนกัน และไม่มีใครเหมือนเธอ เธอมีผมสีบลอนด์สว่างและดวงตาสีเทาอ่อน แต่งกายในชุดทอ เสื้อคลุมขนสัตว์และเสื้อชั้นนอก ไคร่ารูปร่างสูงผอม ผิวสีอ่อน เธอมีหน้าผากกว้างและจมูกเล็ก ลักษณะพิเศษนี้ทำให้ผู้ชายมากกว่าหนึ่งคนต้องเหลียวมองเธอถึงสองครั้ง โดยเฉพาะวัยสิบห้าปีของเธอตอนนี้ เธอสังเกตได้ว่ามีผู้คนหันมามองเธอมากขึ้นกว่าแต่ก่อน

มันทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ เธอไม่ต้องการเรียกร้องความสนใจ และเธอไม่เคยมองว่าตัวเองเป็นสาวสวย เธอไม่เคยสนใจเรื่องรูปลักษณ์ เธอสนแต่เรื่องการฝึกฝนเท่านั้น เธอควรจะมีลักษณะคล้ายกับพ่อของเธอมากกว่าพวกพี่ชาย พ่อเป็นบุคคลที่เธอนับถือและรักมากกว่าสิ่งใดในโลก มากกว่าความสวยงามของเธอ เธอมักส่องกระจกค้นหาบางอย่างของพ่อในดวงตาของเธอ ไม่ว่าเธอพยายามเท่าไร แต่เธอก็ไม่สามารถค้นพบได้

“ข้าบอกว่าออกไปให้ห่างจากข้า!” ไอดานตะโกน เสียงของเขาดังขึ้นมาถึงที่นี่

น้ำเสียงที่ดูมีความทุกข์ของน้องชายคนเล็ก เด็กผู้ชายซึ่งไคร่ารักมากกว่าใครในโลกนี้ ไคร่ายืนขึ้น เหมือนสิงโตที่กำลังมองลูกของมัน เลโอก็ยืนตัวแข็งเช่นกัน ขนบนหลังของมันตั้งชัน แม่ของพวกเขาจากไปนานแล้ว ไคร่าจึงรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบการดูแลไอดาน เพื่อทดแทนในส่วนที่แม่ของเธอไม่ได้ทำ

แบรนดอนและเบร็กซ์ตันลากไอดานไปตามถนน ออกห่างจากป้อม บนถนนเปลี่ยวที่มุ่งสู่ป่าอันห่างไกล เธอมองเห็นว่าพวกเขาพยายามให้ไอดานจับหอก ซึ่งมีขนาดใหญ่เกินไปสำหรับเขา ไอดานกลายเป็นเป้าที่ต้องถูกรังแก แบรนดอนและเบร็กซ์ตันเป็นพวกเด็กเกเร พวกเขาแข็งแรงและค่อนข้างกล้าหาญ แต่พวกเขาดูวางก้ามมากกว่าจะมีทักษะที่แท้จริง พวกเขามักสร้างปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง มันช่างโง่เง่ายิ่งนัก

ไคร่ารู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น แบรนดอนและเบร็กซ์ตันลากไอดานมาเพื่อร่วมล่ากับพวกเขา เธอสังเกตเห็นถุงใส่ไวน์ที่อยู่ในมือของพวกเขาและรู้ได้ทันทีว่าพวกเขากำลังเมา ความรู้สึกโกรธของเธอพลุ่งพล่าน พวกเขาไม่เพียงแต่กำลังจะไปฆ่าสัตว์ที่ไร้ความรู้สึก แต่ตอนนี้พวกเขากำลังลากน้องชายคนเล็กไปด้วย แม้ว่าเขาจะต่อต้านก็ตาม

สัญชาตญาณในตัวของไคร่ากระตุ้นตัวเธอ เธอกระโจนเข้าไปเพื่อขัดขวาง วิ่งลงเขาไปเพื่อเผชิญหน้าพวกเขา เลโอวิ่งตามมาเคียงข้างเธอ

“ตอนนี้เจ้าโตพอแล้ว” แบรนดอนพูดกับไอดาน

“มันถึงเวลาที่เจ้าจะกลายเป็นลูกผู้ชาย” แบร็กซ์ตันพูด

ไคร่ากระโดดลงมาตามเนินหญ้า รับรู้ได้ถึงเสียงเต้นของหัวใจ ใช้เวลาไม่นานไคร่าก็วิ่งทันพวกเขา เธอวิ่งลงมาบนถนนและหยุดต่อหน้าพวกเขา ปิดกั้นเส้นทาง หายใจเสียงดัง เลโออยู่ข้างกายเธอ พวกพี่ชายของเธอหยุดเดิน มองกลับมาด้วยความตกใจ

เธอสามารถเห็นได้ชัดว่าใบหน้าของไอดานดูโล่งใจ

“นี่เจ้าหลงทางหรือ?” แบร็กซ์ตันพูดเหน็บ

“เจ้ากำลังขวางทางพวกเรา” แบรนดอนพูด “กลับไปเล่นธนูกับไม้ขีดของเจ้าไป”

พวกเขาสองคนหัวเราะเยาะเย้ย แต่ไคร่าคิ้วขมวด สงวนท่าที เช่นเดียวกับเลโอที่ยืนอยู่ข้างเธอ มันส่งเสียงคำรามออกมาเล็กน้อย

“เอาสัตว์ร้ายนั่นออกไปให้พ้น” แบร็กซ์ตันพยายามพูดให้ดูกล้าหาญในขณะที่กำหอกในมือแน่น ความหวาดกลัวแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขา

“พวกเจ้ากำลังจะพาไอดานไปไหน?” เธอถามอย่างจริงจัง มองกลับไปยังพวกเขาอย่างแน่วแน่

พวกเขาหยุดนิ่ง สีหน้าค่อย ๆ เปลี่ยนไป

“พวกข้าจะพาเขาไปไหนก็ได้ตามที่ต้องการ” แบรนดอนพูด

“เขากำลังจะไปล่า เพื่อเรียนรู้การกลายเป็นลูกผู้ชาย” แบร็กซ์ตันพูด เน้นที่คำสุดท้ายเพื่อแทงใจเธอ

แต่เธอไม่สนใจ

“เขายังเด็กเกินไป” เธอตอบกลับอย่างหนักแน่น

แบรนดอนทำตาถลึง

“ใครบอก?” เขาถาม

“ข้าบอกอยู่นี่ไง”

“เจ้าเป็นแม่เขาหรือ?” แบร็กซ์ตันถาม

ไคร่าหน้าแดง เต็มไปด้วยความโกรธ เธออยากให้แม่มาอยู่ที่นี่ด้วยมากกว่าสิ่งใดทั้งหมด

“ก็เหมือนกับที่พวกเจ้าทำตัวเป็นพ่อของเขา” เธอตอบ

พวกเขาทั้งหมดยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด ไคร่ามองไปที่ไอดาน เขามองกลับมาด้วยแววตาหวาดกลัว

“ไอดาน” เธอถามเขา “นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการทำหรือ?”

ไอดานก้มหน้ามองพื้น หน้าเจื่อน เขายืนอยู่ตรงนั้น หลบสายตา ไคร่ารู้ว่าเขาไม่กล้าพูดออกมา กลัวว่าจะทำให้พี่ชายของเขาไม่พอใจ

“เป็นไงล่ะ ได้คำตอบแล้วนี่” แบรนดอนพูด “เขาไม่ปฏิเสธ”

ไคร่ายืนนิ่ง ร้อนรุ่มด้วยความไม่พอใจ เธอต้องการให้ไอดานพูดออกมา แต่ก็ไม่สามารถบังคับเขาได้

“การพาเขาออกมาล่ากับพวกเจ้าเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาด” เธอพูด “พายุกำลังก่อตัว ตอนนี้ใกล้จะมืดแล้ว ในป่าเต็มไปด้วยอันตราย ถ้าพวกเจ้าต้องการสอนเขาออกล่า เมื่อเขาโตกว่านี้ค่อยพาเขามาก็ได้”

พวกเขาค้อนตากลับอย่างรำคาญ

“แล้วเจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับการล่าบ้าง?” แบร็กซ์ตันถาม “เจ้าล่าอะไรนอกจากต้นไม้พวกนั้น?”

“พักหลังพวกมันแว้งกัดเจ้าบ้างไหม?” แบรนดอนเสริม

ทั้งคู่หัวเราะออกมา ไคร่ารู้สึกโกรธ กำลังชั่งใจว่าจะทำอย่างไร ถ้าไอดานไม่พูดออกมา เธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้

“เจ้าเป็นกังวลมากเกินไปน้องรัก” แบรนดอนพูดออกมา “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับไอดานหรอก พวกเราคอยระวังอยู่ เราอยากทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นอีกหน่อย ไม่ได้จะฆ่าเขา นี่เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าเจ้าคือคนเดียวที่เป็นห่วงเขา?”

“นอกจากนี้ ท่านพ่อกำลังมองอยู่” แบร็กซ์ตันพูด “เจ้าอยากทำให้ท่านพ่อผิดหวังหรือ?”

ไคร่ามองข้ามไหล่พวกเขา สูงขึ้นไปบนหอคอย เธอเห็นพ่อยืนอยู่ที่หน้าต่างโค้งที่เปิดรับลมอยู่ กำลังเฝ้ามองลงมา เธอรู้สึกผิดหวังในตัวพ่ออย่างที่สุดที่เขาไม่หยุดเรื่องนี้

พวกเขาพยายามเดินฝ่าไป แต่ไคร่ายืนอยู่ที่นั่น ดื้อรั้นที่จะขวางทางไว้ พวกเขาคิดที่จะผลักเธอออกไป แต่เลโอเดินเข้ามา และส่งเสียงขู่ พวกเขารู้ว่าท่าไม่ดีแน่

“ไอดาน มันยังไม่สายเกินไป” เธอพูดกับเขา “เจ้าไม่จำเป็นต้องทำสิ่งนี้ เจ้าต้องการกลับไปที่ป้อมกับข้าไหม?”

เธอมองหน้าเขา เห็นแววตาความสบายใจและความอึดอัดของเขา ความเงียบอันยาวนานผ่านไป ไม่มีสิ่งมารบกวน เว้นแต่เสียงลมพัดและหิมะที่กำลังตก

ในที่สุดเขาก็แสดงท่าทีออกมา

“ข้าต้องการออกล่า” เขาพูดพึมพำอย่างไม่เต็มใจ

พวกพี่ชายเดินผ่านไปพร้อมกระแทกไหล่ของเธอ และลากไอดานไปด้วย พวกเขามุ่งหน้าสู่ถนน ไคร่าหันหลังและมองดูพวกเขา รู้สึกปั่นป่วนในท้อง

เธอมองไปที่ป้อมปราการ มองขึ้นไปบนหอคอย แต่พ่อของเธอไม่อยู่ที่นั่นแล้ว

ไคร่ามองพี่น้องทั้งสามคนจนลับตา พวกเขาเดินเข้าสู่พายุที่กำลังก่อตัว ไปยังป่าแห่งหนาม เธอคิดที่จะชิงตัวไอดานและนำเขากลับมา แต่เธอไม่อยากทำให้เขาอับอาย

เธอรู้ว่าควรปล่อยให้มันเป็นไป แต่ก็ไม่สามารถทำได้ บางอย่างภายในตัวของเธอไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น เธอรับรู้ได้ถึงอันตราย โดยเฉพาะในช่วงพลบค่ำของเหมันต์จันทรา เธอไม่ไว้ใจพี่ชายทั้งสอง เธอรู้ว่าพวกเขาคงไม่ทำร้ายไอดาน แต่พวกเขาสะเพร่าและอันธพาลเกินไป แย่ไปกว่านั้น พวกเขามั่นใจในทักษะของตัวเองเกินไป มันช่างเป็นส่วนผสมที่เลวร้าย

ไคร่าไม่อาจทนได้อีกต่อไป ถ้าพ่อของเธอไม่ยอมทำอะไร เธอจะทำเอง เธอโตพอแล้ว และไม่จำเป็นต้องขออนุญาตใคร

ไคร่าออกวิ่งไปยังเส้นทางเปลี่ยวริมป่า เลโอวิ่งอยู่ข้างเธอ ทั้งคู่กำลังมุ่งหน้าสู่ป่าแห่งหนาม




บทที่สอง


ไคร่าเดินเข้าสู่ป่าแห่งหนามอันมืดมิดทางฝั่งตะวันตกของป้อมปราการ ป่าอันหนาทึบที่ยากจะมองเห็น เธอเดินไปกับเลโออย่างช้า ๆ เสียงหิมะและน้ำแข็งแตกละเอียดดังอยู่ใต้ฝ่าเท้า เธอดูตัวเล็กลงเมื่ออยู่ใต้ต้นไม้หนามที่แผ่ขยายออกไปอย่างไม่สิ้นสุด ป่าแห่งนี้เต็มไปด้วยต้นไม้ดึกดำบรรพ์สีดำที่มีกิ่งก้านตะปุ่มตะป่ำคล้ายหนาม พร้อมใบสีดำหนา เธอรู้สึกเหมือนสถานที่แห่งนี้ต้องคำสาป เพราะไม่เคยมีสิ่งดี ๆ ออกมาจากที่นี่เลย คนของพ่อได้รับบาดเจ็บหลังจากออกล่าในป่า หลายครั้งที่กำแพงอัคคีถูกโทรลบุก พวกมันใช้ป่านี้เป็นที่หลบซ่อนเพื่อโจมตีหมู่บ้าน

ขณะที่ไคร่าเดินเข้าไป เธอรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นทันที ในป่าแห่งนี้ช่างลึกลับ อากาศหนาวเย็น เปียกชื้น กลิ่นของต้นหนามกระจายไปทั่ว กลิ่นของมันเหมือนหน้าดินที่กำลังเน่าเปื่อย ภายในป่ามีต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ดูดซับแสงเหลืออยู่ ไคร่าเดินอย่างระมัดระวัง แม้ว่าเธอจะโกรธพี่ชาย แต่การเข้ามาในป่านี้โดยไม่มีเพื่อนร่วมทางเป็นนักรบหลาย ๆ คนมันอันตรายเกินไป โดยเฉพาะหลังจากพระอาทิตย์ตกดิน เสียงสะท้อนกึกก้องทำให้เธอหวาดผวา เสียงร้องของสัตว์ดังมาแต่ไกล เธอสะดุ้งและหันกลับไปมอง แต่ป่าหนาทึบมาก เธอไม่สามารถหาที่มาของเสียงนั้นได้

เลโอส่งเสียงร้องอยู่ข้างเธอ ทันใดนั้นมันวิ่งออกไปตามเสียง

“เลโอ!” เธอตะโกนขึ้น

แต่เลโอหายไปแล้ว

เธอถอนหายใจ รู้สึกหงุดหงิด เลโอมักจะเป็นแบบนี้เสมอเมื่อมีสัตว์อื่นเข้ามาใกล้ แต่สุดท้ายแล้วมันมักจะกลับมาเอง

ไคร่าเดินต่อไป ตอนนี้เธออยู่เพียงลำพัง ภายในป่าที่ดูหนาทึบขึ้นเรื่อย ๆ เธอพยายามติดตามร่องรอยของพี่ชายและน้องชาย เมื่อไคร่าได้ยินเสียงหัวเราะดังมาแต่ไกล เธอมองหาที่มาของเสียง และรีบฝ่าดงต้นไม้หนาออกไป จนเห็นพี่น้องของเธออยู่เบื้องหน้า

ไคร่าถอยกลับมา พยายามรักษาระยะห่างไว้ และไม่ต้องการให้ใครเห็น เธอรู้ว่าถ้าไอดานเห็นเธอ เขาจะต้องอับอายและไม่อยากพบเธออีก เธอสามารถมองดูพวกเขาจากเงามืด เธอเพียงแค่ต้องการแน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ประสบกับเรื่องอันตรายใด ๆ เธอไม่ต้องทำให้ไอดานอับอาย เพื่อให้เขาได้รู้สึกว่าเขาคือลูกผู้ชาย

เสียงกิ่งไม้ถูกเหยียบใต้เท้าของเธอดังขึ้น ไคร่าก้มตัวลงทันที กลัวว่าเสียงจะทำให้พวกเขารู้ว่าเธออยู่ที่นี่ แต่โชคดีที่พวกพี่ชายขี้เมาของเธอไม่ได้ยิน พวกเขานำหน้าเธออยู่สามสิบหลา เธอรีบเดินเร็วขึ้น เสียงย่ำเท้าถูกกลบด้วยเสียงหัวเราะของพวกเขา เธอสามารถรู้ได้จากท่าทางของไอดานว่าเขากำลังวิตก เหมือนจะอยากร้องไห้ออกมา เขากำหอกในมือแน่น พยายามที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง แต่มันเป็นท่าทางการจับที่ดูเก้กัง เนื่องจากหอกนั้นมีขนาดใหญ่เกินไป และเขาต้องพยายามแบกรับน้ำหนักของหอกเอาไว้

“เร็วสิ!” แบรกซ์ตันตะโกนออกมา หันมามองไอดานที่เดินตามหลังไกลออกไปหนึ่งฟุต

“เจ้ากำลังกลัวอะไร?” แบรนดอนพูดกับเขา

“ข้าไม่ได้กลัว…” ไอดานยืนกราน

“เงียบ!” แบรนดอนพูดออกมา พร้อมกับหยุดเดิน และเอาฝ่ามือของเขามายันไว้ที่หน้าอกของไอดาน การแสดงออกของเขาดูจริงจังเป็นครั้งแรก แบรกซ์ตันก็หยุดเดินเช่นกัน พวกเขาทั้งหมดกำลังเคร่งเครียด

ไคร่าแอบอยู่หลังต้นไมในขณะที่กำลังมองดูพี่น้องของเธอ พวกเขายืนอยู่ท่ามกลางที่โล่ง กำลังมองไปข้างหน้าราวกับเจออะไรบางอย่าง

เธอคลานไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง พยายามหามุมที่ดีกว่านี้ เธอแหวกตัวเข้าไประหว่างต้นไม้ใหญ่สองต้น และต้องผงะเมื่อเห็นสิ่งที่พวกเขากำลังยืนดู หมูป่าเขาดำ ตัวใหญ่มหึมา กำลังกินลูกโอ๊คอยู่ มันไม่ใช่หมูป่าธรรมดา แต่มันเป็นหมูป่าตัวใหญ่ที่สุดที่เธอเคยเห็น งาของมันสีขาวโค้งยาวเหยียด พร้อมด้วยเขาสีดำแหลมคมสามอัน อันหนึ่งยื่นออกมาจากจมูก และอีกสองอันยื่นออกมาจากหัว ตัวของมันใหญ่เกือบเท่าหมี มันเป็นสัตว์หายาก ขึ้นชื่อเรื่องความดุร้ายและรวดเร็วดุจสายฟ้า มันเป็นสัตว์ที่ทุกคนเกรงกลัว และเป็นสัตว์ที่นักล่าไม่อยากเจอมากที่สุด

แย่แล้ว

ไคร่าขนลุกชัน หวังว่าเลโอจะอยู่ที่นี่ แต่ดีแล้วที่มันไม่อยู่ ไม่เช่นนั้นมันคงจะกระโดดออกไปไล่หมูป่า และไคร่าไม่แน่ใจนักว่ามันจะสามารถเอาชนะได้ ไคร่าค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้า นำคันธนูออกมาจากไหล่อย่างช้า ๆ และเอื้อมมือไปหยิบลูกธนูโดยสัญชาตญาณ เธอพยายามคำนวณว่าหมูป่าอยู่ห่างจากพวกเขาแค่ไหน และห่างจากเธอเท่าไร เธอรู้ว่ามันไม่ดีแน่ เนื่องจากมีต้นไม้ขวางทิศทางการยิงธนูมากเกินไป และขนาดของสัตว์ตัวเท่านี้ ไม่มีที่ว่างสำหรับข้อผิดพลาด เธอสงสัยว่าธนูดอกเดียวจะสามารถล้มหมูป่าตัวนี้ได้หรือไม่

ไคร่าสังเกตเห็นความหวาดกลัวบนใบหน้าของพวกพี่ชาย แบรนดอนและแบรกซ์ตันปกปิดความตระหนกด้วยท่าทีห้าวหาญ เธอรู้ว่ามันเกิดจากความมึนเมาอย่างแน่นอน ทั้งคู่ยกหอกขึ้นมาและเดินไปข้างหน้าหลายก้าว แบรกซ์ตันเห็นไอดานยืนนิ่งอยู่กับที่ เขาหันไป วางมือลงบนบ่าของเด็กน้อย และพาไอดานก้าวไปพร้อมกับเขา

“นี่คือโอกาสที่เจ้าจะพิสูจน์ตัวเอง” แบรกซ์ตันพูด “ฆ่าหมูป่าตัวนี้ซะ และพวกเขาจะสรรเสริญเจ้าไปชั่วลูกชั่วหลาน”

“นำหัวของมันกลับไปและเจ้าจะมีชื่อเสียงไปตลอดชีวิต” แบรนดอนพูด

“ข้า…กลัว” ไอดานพูด

แบรนดอนและแบรกซ์ตันยิ้มเยาะ และหัวเราะออกมา

“กลัวหรือ?” แบรนดอนพูด “ท่านพ่อจะคิดยังไงถ้าเขาได้ยินที่เจ้าพูด?”

หมูป่าเริ่มตัวรู้ มันยกหัวขึ้นมา เผยให้เห็นดวงตาสีเหลืองเป็นประกาย มันจ้องมาที่พวกเขา อ้าปากคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวโกรธ พร้อมแยกเขี้ยวอันแหลมคมที่เต็มไปด้วยน้ำลายยืด ตามด้วยเสียงขู่อันดุร้ายที่ดังออกมา ไคร่ารับรู้ได้ถึงความน่ากลัวแม้แต่ในระยะที่เธอยืนอยู่ เธอกำลังนึกถึงความกลัวที่ไอดานต้องเผชิญ

ไคร่ารีบพุ่งไปข้างหน้า ละทิ้งความรอบคอบไปกับสายลม มุ่งมั่นที่จะตามให้ทันก่อนที่เรื่องราวจะสายเกินไป เมื่อเธออยู่ห่างจากพี่น้องของเธอไม่กี่ฟุต เธอตะโกนออกไป

“อย่ายุ่งกับมัน!”

เสียงอันแข็งกร้าวของเธอทำลายความเงียบ พี่น้องของเธอทั้งหมดหันกลับมา สีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด

“พวกเจ้าสนุกมากพอแล้ว” เธอพูด “ปล่อยมันไป”

ไอดานดูคลายความกังวล ส่วนแบรนดอนและแบร็กซ์ตันถลึงตาใส่เธอ

“เจ้าจะไปรู้อะไร?” แบรนดอนตะโกนกลับมา “เลิกมายุ่งกับพวกผู้ชายสักที”

เสียงคำรามของหมูป่าดังขึ้น มันกำลังคืบคลานเข้ามาหาพวกเขา ไคร่าก้าวไปข้างหน้าด้วยความรู้สึกกลัวและโกรธ

“ถ้าพวกเจ้าโง่พอที่จะเป็นศัตรูกับสัตว์ร้ายนี้ก็เรื่องของเจ้า” เธอพูด “แต่พวกเจ้าต้องส่งไอดานมาให้ข้า”

แบรนดอนคิ้วขมวด

“ไอดานจะไม่เป็นไร” แบรนดอนโต้กลับ “เขากำลังจะเรียนรู้วิธีการต่อสู้ ใช่ไหม ไอดาน?”

ไอดานยืนเงียบ กำลังตะลึงด้วยความกลัว

ไคร่าเดินเข้าไปใกล้ขึ้น และคว้าแขนของไอดานไว้ หมูป่ากำลังใกล้เข้ามาทีละก้าวอย่างน่ากลัว

“หมูป่าจะไม่โจมตี ถ้ามันไม่โดนท้าทาย” ไคร่ากดดันพี่ชายของเธอ “ปล่อยมันไป”

แต่พวกพี่ชายของเธอไม่สนใจ ทั้งคู่หันไปเผชิญหน้าและยกหอกขึ้น พวกเขาเดินไปข้างหน้า ราวกับต้องการพิสูจน์ว่าพวกเขากล้าหาญเพียงใด

“ข้าจะเล็งหัวของมัน” แบรนดอนพูด

“ส่วนข้าจะเล็งที่คอ” แบร็กซ์ตันเห็นด้วย

หมูป่าคำรามเสียงดังขึ้น อ้าปากกว้างมากกว่าเดิม น้ำลายไหลยืด และก้าวเข้ามาอย่างน่ากลัว

“กลับมานี่!” ไคร่าตะโกนออกไปอย่างสิ้นหวัง

แต่แบรนดอนและแบร็กซ์ตันก้าวเท้าไปข้างหน้า พร้อมกับยกหอกของพวกเขาขึ้น และขว้างออกไป

ไคร่ามองตามด้วยความกังวลในขณะที่หอกร่อนอยู่ในอากาศ เธอเตรียมรับมือกับเรื่องร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น เธอมองอย่างผิดหวัง หอกของแบรนดอนพุ่งเฉี่ยวหูของหมูป่า แรงพอที่จะทำให้เลือดออก และกระตุ้นให้มันโกรธมากขึ้น ส่วนหอกของแบร็กซ์ตันนั้นไม่โดนเป้า ห่างจากหัวของหมูป่าไปหลายฟุต

นี่เป็นครั้งแรกที่แบรนดอนและแบร็กซ์ตันดูหวาดกลัว พวกเขายืนอยู่ที่นั่น อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง ความมึนเมาจากไวน์ถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัว

หมูป่ากำลังโกรธ มันลดหัวต่ำลง ขู่คำรามด้วยเสียงที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง และทันใดนั้นมันก็พุ่งเข้ามา

ไคร่ามองดูด้วยความตกใจในขณะที่หมู่ป่ากำลังวิ่งเข้าใส่พี่ชายของเธอ มันเป็นหมูป่าที่รวดเร็วที่สุดเท่าที่เธอเคยพบเจอ มันพุ่งกระโจนผ่านหญ้าอย่างคล่องแคล่วราวกับกวาง

หมูป่าเข้ามาใกล้มากขึ้น แบรนดอนและแบร็กซ์ตันวิ่งหนีสุดชีวิตไปคนละทิศคนละทาง

นั่นทำให้ไอดานถูกทิ้งไว้ตรงนั้น เขายืนนิ่งอยู่กับที่เพียงคนเดียว ตัวแข็งทื่ออย่างหวาดกลัว อ้าปากค้างด้วยความตกใจ เขาปล่อยมือออก หอกที่ถือไว้หล่นกลิ้งไปตามพื้น ไคร่ารู้ว่าไอดานไม่สามารถป้องกันตัวเองได้อยู่ดีถ้าเขาพยายาม แม้แต่ผู้ชายตัวโตก็ไม่สามารถทำได้ และตอนนี้หมูป่ากำลังเล็งไปที่ไอดาน พุ่งเป้าไปที่เขา

หัวใจของไคร่าเต้นรัว เธอรู้ว่าเธอมีเพียงโอกาสเดียว เธอกระโจนออกไปข้างหน้าโดยไม่ต้องคิด หลบหลีกตัวผ่านต้นไม้ เล็งธนูไปข้างหน้า นี่เป็นเพียงโอกาสเดียว และมันต้องสมบูรณ์แบบ เธอกำลังอยู่ในสภาวะความกลัว แม้ว่าหมูป่าจะอยู่นิ่งก็อาจทำให้การยิงยากขึ้น เธอรวบรวมสมาธิ มันจะต้องเป็นการยิงที่สมบูรณ์แบบเท่านั้น เธอและไอดานต้องรอดไปจากที่นี่

“ไอดาน หมอบลง!” เธอตะโกน

ไอดานยังไม่ขยับ เขาขวางทางเธอ ทำให้เธอยิงไม่ถนัด ไคร่ายกธนูขึ้นมาและวิ่งไปข้างหน้า เธอรู้ว่าถ้าไอดานไม่ขยับ โอกาสยิงเพียงครั้งเดียวของเธอจะหมดไป สิ่งกีดขวางในป่าทำให้เท้าของเธอลื่นไถลบนหิมะและดินที่เปียกชื้น เธอรู้สึกเหมือนทุกอย่างจะจบลง

“ไอดาน!” เธอตะโกนอีกครั้งอย่างสิ้นหวัง

ด้วยปาฏิหาริย์บางอย่าง ครั้งนี้ไอดานได้ยินเธอแล้ว เขาก้มตัวลงกับพื้นในวินาทีสุดท้าย เปิดทางให้กับวิถียิงของไคร่า

เมื่อหมูป่าพุ่งเข้าใส่ไอดาน ทันใดนั้นเอง ไคร่ารู้สึกเหมือนเวลาเดินช้าลง โลกกำลังบิดเบี้ยว บางอย่างกำลังก่อตัวขึ้นภายในตัวของเธอ เธอไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนและไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น โลกดูแคบลงและกลายเป็นจุดโฟกัส เธอสามารถได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัว เสียงลมหายใจของเธอ เสียงใบไม้ปลิวล่องลอย เสียงอีกาที่บินอยู่บนท้องฟ้า เธอรู้สึกเหมือนเธอเป็นส่วนหนึ่งกับจักรวาล ราวกับเธอได้เข้าสู่ดินแดนที่ซึ่งเธอและจักรวาลหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว

ไคร่ารู้สึกว่าฝ่ามือของเธอเจ็บแปลบด้วยพลังงานอันอบอุ่นที่ไม่สามารถอธิบายได้ เหมือนมีบางสิ่งกำลังคุกคามร่างกายของเธอ ภายในชั่วพริบตา เธอได้กลายเป็นใครบางคนที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเธอเอง ใครบางคนที่ทรงพลังอย่างมาก

จิตของไคร่าอยู่ในภาวะนิ่งสงบ เธอปล่อยให้ตัวเธอเองถูกขับเคลื่อนไปด้วยสัญชาตญาณ ด้วยพลังใหม่ที่ไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกายของเธอ เธอวางเท้าอย่างมั่นคง ยกคันธนูขึ้น ใส่ลูกธนู และยิงมันออกไป

เธอรู้ตั้งแต่วินาทีที่ปล่อยลูกธนูออกไปว่าครั้งนี้คือการยิงที่พิเศษ เธอไม่จำเป็นต้องมองดูว่าลูกธนูพุ่งเข้าเป้าตามที่ต้องการหรือไม่ เธอยิงออกไปอย่างเต็มกำลังเข้าที่ดวงตาข้างขวาของสัตว์ร้าย ทำให้มันไถลไปเกือบฟุตหนึ่งก่อนที่จะหยุดลง

หมูป่าส่งเสียงฮึดฮัด ขาของมันติดชะงัก หน้าของมันทิ่มลงไปกับหิมะ นอนดิ้นอยู่บนพื้น มันยังคงมีชีวิตอยู่ เกือบจะถึงตัวไอดาน หยุดห่างจากเขาเพียงฟุตหนึ่ง

หมูป่านอนชักกระตุกอยู่บนพื้น ไคร่าใส่ลูกธนูอีกดอกในคันธนูของเธอ ก้าวมาข้างหน้า ยืนอยู่เหนือหมูป่า และเล็งยิงไปที่หลังกะโหลกของมัน ในที่สุดมันก็นอนนิ่งสนิท

ไคร่ายืนอยู่อย่างนั้นในความเงียบสงบ หัวใจของเธอเต้นระรัว ความรู้สึกเจ็บแปลบที่ฝ่ามือกำลังบรรเทาลง พลังนั้นค่อย ๆ จางหายไป เธอสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น การยิงนั่นเป็นฝีมือของเธอหรือ?

ไคร่านึกถึงไอดานขึ้นมา เธอหันไปคว้าตัวเขา เขามองหน้าเธอเหมือนกับที่เขามองแม่ ดวงตาเอ่อล้นไปด้วยความกลัว แต่ไร้ซึ่งการบาดเจ็บ เธอรู้สึกโล่งใจทันทีที่รู้ว่าเขาไม่เป็นอะไร

ไคร่ามองหาพี่ชายคนโตทั้งสอง แต่ละคนนอนแผ่อยู่บนพื้น จ้องมาที่เธอด้วยความตกใจและเกรงกลัว แต่มันยังมีอีกอย่างในดวงตาของพวกเขา บางอย่างที่หาข้อสรุปไม่ได้ในตัวเธอ มันคือความสงสัย เหมือนกับว่าเธอแตกต่างจากพวกเขา เหมือนเธอเป็นคนนอก มันคือแววตาที่ไคร่าเคยเจอเมื่อนานมาแล้ว นานพอที่จะทำให้เธอสงสัยตัวเอง เธอหันไปมองซากศพของสัตว์ร้ายตัวโตมหึมาที่นอนอยู่แทบเท้าของเธอ อดสงสัยไม่ได้ว่าเธอทำได้อย่างไร เด็กผู้หญิงอายุสิบห้าปี สามารถทำสิ่งนี้ได้อย่างไร เธอรู้ว่ามันเหนือกว่าคำว่าทักษะ และมันยิ่งกว่าคำว่าดวงดี

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ดูเหมือนจะมีบางสิ่งเกี่ยวกับตัวเธอที่บ่งบอกว่าเธอแตกต่างจากคนอื่น เธอยืนอยู่ที่นั่น รู้สึกสับสน ต้องการขยับตัวแต่ไม่สามารถทำได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เธอตัวสั่นเทา นั่นไม่ใช่เพราะสัตว์ร้ายตัวนี้ แต่มันคือแววตาของพวกพี่ชายที่มองดูเธอ เธอเคยสงสัยมานับล้านครั้ง คำถามที่เธอกลัวและไม่อยากเผชิญมาตลอดชีวิต

เธอคือใคร?




บทที่สาม


ไคร่าเดินตามหลังพวกพี่ชายเพื่อกลับไปยังป้อมปราการ พวกเขากำลังพยายามแบกน้ำหนักของหมูป่า ไอดานเดินอยู่ข้างเธอพร้อมเลโอที่กลับมาจากเกมวิ่งไล่ของมันแล้ว แบรนดอนและแบร็กซ์ตันแบกซากศพสัตว์ร้ายที่ผูกเข้ากับหอกสองอันและแบกไว้บนบ่าคนละข้าง ความหวาดกลัวของพวกเขาหายไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อพวกเขาออกมาจากป่าและเจอท้องฟ้าที่เปิดโล่ง ตอนนี้สามารถมองเห็นป้อมปราการของพ่ออยู่ในระยะสายตาแล้ว แต่ละก้าวที่เดินไป แบรนดอนและแบร็กซ์ตันเริ่มกลับมามีความมั่นใจอีกครั้ง เกือบจะกลับมาเป็นพวกหัวดื้อตามเดิม ทั้งสองคนกำลังหัวเราะ หยอกล้อกันไปมาและโอ้อวดทักษะของพวกเขา

“หอกของข้าพุ่งถากหมูป่า” แบรนดอนพูดกับแบร็กซ์ตัน

“แต่” แบร็กซ์ตันแย้ง “หอกของข้าทำให้หมูป่าเปลี่ยนทางไปโดนธนูของไคร่า”

ไคร่ากำลังฟังอยู่ ใบหน้าของเธอแดงก่ำกับเรื่องราวโกหกของพวกเขา พี่ชายหัวรั้นของเธอกำลังทำตัวเองให้เชื่อเรื่องราวที่กุขึ้นมา ตอนนี้พวกเขาดูเหมือนจะเชื่อแบบนั้นจริง ๆ เธอคาดไว้แล้วว่าพวกเขาจะโอ้อวดเรื่องนี้เมื่อกลับไปยังห้องโถงของพ่อ และบอกเล่ากับทุกคนถึงการฆ่าของพวกเขา

มันน่าโมโหเสียจริง เธออยากโต้แย้งพวกเขา เธอเชื่อมั่นในกงล้อแห่งความยุติธรรม และเธอรู้ว่าสุดท้ายแล้วความจริงจะปรากฏ

“พวกเจ้าขี้โกหก” ไอดานพูดในขณะกำลังเดินอยู่ข้างเธอ และยังคงตัวสั่นจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “พวกเจ้าก็รู้ว่าไคร่าเป็นคนฆ่าหมูป่า”

แบรนดอนชำเลืองข้ามไหล่ของเขาอย่างเย้ยหยัน ราวกับว่าไอดานเป็นเพียงแมลง

“เจ้าจะไปรู้อะไร?” เขาถามไอดาน “เจ้ามัวแต่ฉี่รดกางเกงอยู่น่ะสิ”

พวกเขาทั้งคู่หัวเราะ ในขณะที่กำลังเดินไปพร้อมกับการสร้างเรื่องราว

“แล้วเจ้าไม่ได้วิ่งหางจุกตูดหรอกหรือ?” ไคร่าเสริม เธอไม่สามารถทนต่อไปได้อีก

คำพูดของไคร่าทำให้ทั้งคู่เงียบลง เธอน่าจะปล่อยให้สัตว์ร้ายจัดการพวกเขา แต่เธอไม่อยากพูดแบบนั้นออกไป เธอเดินไปอย่างมีความสุข รู้สึกดีที่ได้เป็นคนช่วยชีวิตน้องชายของเธอ นั่นคือความพอใจทั้งหมดที่เธอต้องการ

ไคร่ารู้สึกถึงมือเล็ค ๆ ที่วางลงบนไหล่ของเธอ เธอหันกลับมา ไอดานกำลังยิ้มปลอบใจเธอ เธอรู้สึกมีความสุขที่มีชีวิตรอดกลับมาโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ ไคร่าสงสัยว่าพวกพี่ชายของเธอจะรู้สึกยินดีเหมือนกันหรือไม่กับสิ่งที่เธอได้ทำลงไปทั้งหมดนี้ ถ้าเธอไม่ทำอย่างนั้น พวกเขาอาจถูกฆ่าไปแล้วก็ได้

ไคร่ามองหมูป่ากระดอนไปมาต่อหน้าขณะเดินไปในแต่ละก้าว เธอทำหน้าตาบูดบึ้ง อยากให้พวกพี่ชายของเธอปล่อยมันไว้อย่างนั้น ในที่ที่มันควรอยู่ มันเป็นสัตว์ต้องสาป ไม่ใช่ของโวลิส และไม่ควรมาอยู่ที่นี่ มันเหมือนดังลางร้าย โดยเฉพาะการนำออกมาจากป่าแห่งหนามในเวลาพลบค่ำของช่วงเหมันต์จันทรา เธอนึกถึงสุภาษิตเก่าที่เคยอ่าน จงอย่าโอ้อวดหลังจากได้รับการละเว้นชีวิต เธอรู้สึกว่าพวกพี่ชายของเธอกำลังท้าทายโชคชะตา พวกเขากำลังนำความมืดกลับไปยังบ้านเกิด เธออดคิดไม่ได้ว่านี่อาจเป็นการทำให้สิ่งเลวร้ายเข้ามา

เมื่อมาถึงยอดเนินเขา ป้อมปราการที่แวดล้อมไปด้วยมุมมองของภูมิทัศน์อันกว้างขวางก็อยู่เบื้องหน้าพวกเขาแล้ว ลมหนาวเย็นยะเยือก หิมะกำลังตกหนัก แต่ไคร่ากลับรู้สึกผ่อนคลายที่ได้กลับมาบ้าน ควันจาง ๆ ลอยออกมาจากปล่องไฟ พร้อมกับชานเมืองและป้อมปราการของพ่อที่ส่องสว่างเรืองรองด้วยแสงไฟ เพื่อการอารักขาในยามค่ำคืนที่กำลังจะมาถึง ถนนเริ่มกว้างขึ้น เมื่อใกล้ถึงสะพาน พวกเขาทั้งหมดรีบเร่งฝีเท้า ถนนเริ่มเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังกระตือรือร้น เตรียมพร้อมสำหรับงานเทศกาล แม้ว่าอากาศจะไม่เอื้ออำนวยและใกล้มืด

ไคร่าไม่ค่อยจะแปลกใจกับภาพที่เห็นมากนัก เทศกาลเหมันต์จันทราถือเป็นหนึ่งในวันหยุดที่สำคัญที่สุดแห่งปี และทุกคนต่างวุ่นอยู่กับการเตรียมงานฉลองที่ใกล้จะมาถึง ผู้คนจำนวนมากเดินอยู่บนสะพาน เร่งรีบซื้อของจากร้านค้า เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลอง ในขณะที่กลุ่มคนจำนวนพอ ๆ กันกำลังเดินออกจากประตู รีบพาของกลับบ้านเพื่อไปฉลองกับครอบครัว รถลากวัวและรถขนสินค้าสวนกันขวักไขว่ อิฐและหินถูกลำเลียงไปยังกำแพงใหม่ที่กำลังสร้างอยู่เพื่อล้อมรอบป้อมปราการ เสียงของค้อนดังกังวานไปทั่ว คั่นจังหวะด้วยเสียงของสัตว์เลี้ยงและสุนัข ไคร่าสงสัยว่าพวกเขายังคงทำงานได้อย่างไรภายใต้สภาพอากาศเช่นนี้ มือของพวกเขาไม่เหน็บชาหรืออย่างไร

เมื่อพวกเขาเข้าสู่สะพาน และรวมตัวกับฝูงชน ไคร่าเงยหน้าขึ้นมอง ท้องของเธอขมวดแน่นเมื่อเห็นคนของลอร์ดหลายคนยืนอยู่ที่ประตู ทหารของผู้ว่าการที่ถูกแต่งตั้งโดยแพนดีเซีย พวกเขาสวมเสื้อเกราะสีแดงอันโดดเด่น เธอรู้สึกไม่พอใจทันทีที่มองเห็น รู้สึกขุ่นเคืองเช่นเดียวกับคนทั้งหมดของเธอ การมาของทหารของลอร์ดไม่ต่างอะไรกับการกดขี่ และยิ่งในช่วงเหมันต์จันทรา เมื่อพวกเขามาเยือนที่นี่ พวกเขาสามารถเรียกร้องทุกสิ่งที่ต้องการจากผู้คนของเธอ พวกเขาอันธพาล เหมือนแร้งที่รุมทึ้งซากสัตว์ พวกเขาเป็นขุนนางที่น่ารังเกียจ แต่งตั้งตัวเองขึ้นมามีอำนาจ นับตั้งแต่การรุกรานของเเพนดีเซีย

ต้องโทษความอ่อนแอของพระราชาองค์ก่อนที่ยอมจำนนต่อพวกเขา ความอับอายครั้งนั้นทำให้พวกเราต้องทำตามคนเหล่านี้ มันเป็นสิ่งที่ทำให้ไคร่ารู้สึกโกรธ พ่อของเธอผู้เป็นนักรบที่ยอดเยี่ยม และผู้คนทั้งหมด ไม่ต่างอะไรกับทาสรับใช้ เธออยากให้ทุกคนลุกขึ้นสู้เพื่ออิสรภาพของพวกเขา เผชิญหน้ากับสงครามที่พระราชาองค์ก่อนหวาดกลัว แต่ก็คงไม่มีหวัง เพราะไคร่ารู้ดีว่าหากพวกเขาลุกขึ้นสู้ตอนนี้ พวกเขาจะต้องพบกับพลังอำนาจของกองทัพแพนดิเซีย บางทีพวกเขาอาจจะยับยั้งแพนดิเซียไว้ได้ ถ้าไม่เคยปล่อยให้พวกมันเข้ามา แต่ตอนนี้พวกมันเข้ามาในฐานที่มั่นแล้ว พวกเขาจึงมีตัวเลือกไม่มาก

เมื่อเดินมาถึงสะพาน ผู้คนในฝูงชนต่างหยุดดู จ้องมอง และชี้มาที่หมูป่า ไคร่ารู้สึกพอใจเล็กน้อยที่เห็นพี่ชายของเธอเหงื่อแตกกับการแบกหมูป่ามา หอบฮืดฮาดอย่างเหนื่อยล้า เมื่อพวกเขาเดินผ่านไป ทุกคนหันมองตามและอ้าปากค้าง ไม่ว่าจะคนทั่วไปและนักรบ ทั้งหมดต่างรู้สึกตกตะลึงที่เห็นสัตว์ร้ายตัวใหญ่มหึมา เธอสังเกตเห็นแววตาบางคู่ที่แฝงด้วยความสงสัย บางคนกำลังสงสัยเหมือนอย่างที่เธอคิด ว่านี่จะเป็นลางร้ายหรือไม่

สายตาทุกคู่มองมาที่พี่ชายของเธอด้วยความภูมิใจ

“เป็นการล่าที่ดีสำหรับงานเทศกาล” ชาวนาตะโกนบอก ในขณะที่เดินจูงวัวของเขาเข้ามา

แบรนดอนและแบรกซ์ตันยิ้มอย่างภาคภูมิใจ

“นั่นจะทำให้คนของพ่อเจ้าอิ่มกันครึ่งบ้านเลยทีเดียว!” คนแล่เนื้อตะโกนออกมา

“พวกเจ้าจัดการมันได้อย่างไร?” คนทำอานม้าถาม

พี่น้องทั้งสองมองหน้ากัน แล้วแบรนดอนก็ยิ้มตอบไป

“ท่วงท่าการขว้างที่ดีและไร้ซึ่งความกลัว” เขาตอบอย่างกล้าหาญ

“ถ้าเจ้าไม่ออกไปเสี่ยงภัยในป่า” แบรกซ์ตันเสริม “เจ้าก็ไม่มีทางรู้ว่าจะพบกับอะไรบ้าง”

บางส่วนส่งเสียงเชียร์และปรบมือแก่พวกเขา แม้ว่าไคร่าจะรู้อยู่แก่ใจ แต่เธอก็ต้องห้ามปากตัวเองไว้ เพราะเธอไม่ต้องการความเห็นชอบของผู้คนเหล่านี้ เธอรู้ในสิ่งที่เธอได้ทำ

“พวกเขาไม่ได้สังหารหมูป่า!” ไอดานตะโกนออกมา

“เจ้าน่ะหุบปากซะ” แบรนดอนหันมาและส่งเสียงขู่ “ถ้ายังไม่หยุด ข้าจะบอกทุกคนว่าเจ้าฉี่รดกางเกงตอนที่หมูป่าพุ่งเข้าใส่”

“แต่ข้าไม่ได้ทำ!” ไอดานค้าน

“คิดว่าพวกเขาจะเชื่อเจ้าหรือ?” แบร็กซ์ตันเสริม

แบรนดอนและแบรกซ์ตันต่างพากันหัวเราะ ไอดานมองมาที่ไคร่า ราวกับต้องการรู้ว่าเขาควรจะทำอย่างไร

ไคร่าส่ายหัว

“อย่าเสียเวลาเลย” เธอพูดกับเขา “ความจริงย่อมปรากฏ”

ความหนาแน่นของฝูงชนเพิ่มมากขึ้นเมื่อพวกเขาข้ามสะพานเข้ามา ผู้คนมากมายเดินไหล่ชนกันในขณะข้ามคูเมือง ไคร่ารับรู้ได้ถึงความตื่นเต้นท่ามกลางบรรยากาศของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า คบไฟถูกจุดขึ้นตามแนวสะพาน หิมะตกหนักมากขึ้น เธอมองไปยังเบื้องหน้า หัวใจของเธอเต้นรัวเช่นทุกครั้ง ประตูหินโค้งขนาดมหึมาที่มุ่งสู่ป้อมปราการได้รับการคุ้มกันโดยคนของพ่อ ด้านบนเป็นเหล็กแหลมของประตูปิดที่ถูกยกให้สูงขึ้น ปลายเหล็กนั้นหนาและถูกลับจนแหลมคม แข็งแรงพอสำหรับการยับยั้งศัตรู พร้อมที่จะปิดลงตลอดเวลาเมื่อได้ยินเสียงแตร ประตูเข้าออกนี้สูงสามสิบฟุต ข้างบนเป็นพื้นเรียบที่แผ่ขยายไปทั่วป้อมปราการ ใบเสมาขนาดกว้างบนกำแพงที่ทำจากหินมีคนเฝ้าประจำการอยู่ เพื่อดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โวลิสเป็นป้อมปราการชั้นเลิศ ไคร่ามักจะคิดเช่นนี้เสมอ เธอรู้สึกภูมิใจมากยิ่งขึ้นเมื่อกองกำลังของพ่อที่อยู่ภายใน เหล่านักรบชั้นยอดของเอสคาลอนจำนวนมาก ค่อย ๆ กลับมารวมตัวกัน หลังจากกระจัดกระจายกันไป นับตั้งแต่การยอมแพ้ของพระราชาองค์ก่อน มันเหมือนการดึงดูดกลับสู่แม่เหล็ก กลับมาหาพ่อของเธอ หลายครั้งที่เธอคอยรบเร้าให้พ่อประกาศตัวเองเป็นพระราชาองค์ใหม่ เช่นเดียวกับที่ผู้คนต่างต้องการ แต่พ่อเพียงแค่ส่ายหัวและพูดว่ามันไม่ใช่วิถีของเขา

เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ประตู คนของพ่อเธอจำนวนหนึ่งควบม้าพุ่งออกมา ผู้คนต่างหลีกทางให้ พวกเขากำลังออกไปยังสนามซ้อมรบ คันดินทรงกลมในสนามนอกป้อมที่ล้อมรอบด้วยกำแพงหินเตี้ย ๆ ไคร่าหันมองตาม หัวใจของเธอเต้นรัวขึ้น สนามซ้อมรบคือสถานที่ที่เธอชอบมากที่สุด เธอสามารถนั่งมองพวกเขาฝึกซ้อมได้หลายชั่วโมง คอยศึกษาทุกการเคลื่อนไหว วิธีการขี่ม้า วิธีการชักดาบ การเขวี้ยงหอกและการเหวี่ยงลูกตุ้ม คนเหล่านี้ขี่ม้าออกไปฝึกซ้อมแม้ว่าจะใกล้ค่ำและหิมะตกหนัก แม้แต่วันก่อนวันหยุดเฉลิมฉลอง เพราะพวกเขาต้องการที่จะฝึกซ้อม เพื่อพัฒนาทักษะให้ดียิ่งขึ้น พวกเขาต้องการอยู่ในสมรภูมิมากกว่ากินเลี้ยงอยู่ในที่ร่ม เช่นเดียวกับเธอ เธอรู้สึกได้ว่าคนเหล่านี้คือคนของเธออย่างแท้จริง

คนของพ่อเธออีกกลุ่มเดินเท้าออกมา ในขณะที่ไคร่าเข้าใกล้ประตูพร้อมกับพี่น้องของเธอ คนเหล่านี้หลบออกไปด้านข้าง สร้างทางเดินให้กับแบรนดอนและแบร็กซ์ตันพร้อมหมูป่า พวกเขาผิวปากอย่างชื่นชมและกรูกันเข้ามารอบ ๆ ผู้ชายตัวโตกล้ามใหญ่ร่างสูง สูงกว่าพี่ชายทั้งสองของเธอ พวกเขาส่วนใหญ่มีหนวดเคราสีดำและสีเทา พวกผู้ชายที่ดูเจนโลกเหล่านี้มีอายุราวสามสิบถึงสี่สิบปี พวกเขาเห็นสงครามมานักต่อนัก ผู้ซึ่งเคยรับใช้พระราชาองค์ก่อนและต้องทนทรมานกับความอัปยศจากการยอมจำนนของเขา ผู้ชายซึ่งไม่คิดที่จะยอมสยบต่อเจตนารมณ์ของตัวเอง พวกเขาผ่านเรื่องราวมาหลายอย่างและไม่ค่อยยินดีกับอะไรมากนัก แต่พวกเขาดูเหมือนจะเห็นด้วยกับเรื่องหมูป่า

“เจ้าสังหารมันด้วยตัวเองหรือ?” หนึ่งในพวกเขาถามแบรนดอน เข้ามามอวดูใกล้ ๆ

ผู้คนกรูกันเข้ามาเยอะมากขึ้น แบรนดอนและแบร็กซ์ตันหยุดเดิน รับการยกย่องและการชื่นชมจากผู้ชายที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ พยายามไม่แสดงออกให้เห็นว่าพวกเขากำลังหายใจลำบาก

“ใช่แล้ว พวกข้าเป็นคนจัดการ” แบรกซ์ตันตะโกนออกมาอย่างภูมิใจ

“เขาดำ” เสียงอุทานของนักรบอีกคน เดินเข้ามาใกล้ ๆ แล้วใช้มือลูบลงบนหลังหมูป่า “ไม่เคยเห็นมันเลยตั้งแต่ข้ายังเป็นเด็ก ข้าเคยร่วมสังหารตัวหนึ่ง แต่ข้าอยู่กันเป็นกลุ่ม และสองคนต้องสูญเสียนิ้วของพวกเขา”

“งั้นหรือ เราไม่สูญเสียอะไรเลย” แบร็กซ์ตันตะโกนออกมาอย่างห้าวหาญ “เพียงแค่ปลายหอก”

ไคร่ารู้สึกโกรธที่คนเหล่านี้กำลังหัวเราะ และชื่นชมกับการสังหาร ในเวลาเดียวกัน เอนวิน ผู้นำของนักรบเหล่านี้ ก้าวออกมาข้างหน้าและตรวจสอบการสังหารอย่างใกล้ชิด เหล่านักรบถอยห่าง และหลีกทางให้เขาอย่างเคารพ

เอนวินเป็นผู้บังคับบัญชาของพ่อ เขาคือนักรบคนโปรดของเธอในบรรดาทั้งหมด เขาทำตามคำสั่งของพ่อเท่านั้น เอนวินเป็นผู้นำของนักรบชั้นยอดเหล่านี้ เขาเหมือนกับพ่อคนที่สองของเธอ เธอรู้จักเขามานานตั้งแต่จำความได้ เขารักเธออย่างทะนุถนอม เขาให้ความสำคัญกับเธอเสมอ และมักจะมีเวลาให้เธอ คอยสอนเทคนิคการต่อสู้และการใช้อาวุธที่คนอื่นไม่คิดจะทำ เขาให้เธอมีโอกาสฝึกซ้อมร่วมกับผู้ชายหลายครั้ง เธอสนุกกับทุกอย่าง เขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา และยังใจดีกับคนที่เขาชอบ แต่คนที่เขาไม่ชอบ ไคร่ารู้สึกกลัวแทนพวกเขา

เอนวินมีความอดทนน้อยสำหรับเรื่องโกหก เขาคือผู้ชายที่ต้องการรู้ความจริงทั้งหมด แม้ว่ามันจะไม่น่าฟังก็ตาม เขามีสายตาเฉียบคม เอนวินตรวจสอบหมูป่าอย่างใกล้ชิด เขาพิจารณารอยธนูทั้งสอง เขามองดูอย่างละเอียด ถ้าจะมีใครสามารถรับรู้ถึงความจริง คน ๆ นั้นก็คงเป็นเขา

เอนวินตรวจสอบสองบาดแผล เขาสังเกตเห็นหัวธนูขนาดเล็กที่ยังคงปักอยู่ข้างใน ชิ้นส่วนของไม้ถูกพี่ชายของเธอหักออก พวกเขาดึงออกเกือบสุด จึงไม่มีใครเห็นสิ่งที่ใช้สังหารหมูป่า แต่เอนวินไม่ใช่ใครคนอื่น

ไคร่ามองดูเอนวินศึกษาบาดแผล เขาหรี่ตาลง เหมือนใกล้ได้ข้อสรุป เอนวินถอดถุงมือออก เอื้อมลงไปที่ตาของหมูป่า และดึงหนึ่งในหัวธนูออกมา เขาชูมือที่เต็มไปด้วยเลือดขึ้น และหันไปหาพี่ชายของเธอช้า ๆ ด้วยสีหน้าสงสัย

“รูจากหอกงั้นหรือ?” เขาถามอย่างไม่พอใจ

ความเงียบอันตึงเครียดก่อตัวขึ้น แบรนดอนและแบร็กซ์ตันดูประสาทเสียเป็นครั้งแรก ยืนบ่ายเบี่ยงอยู่กับที่

เอนวินหันมาหาไคร่า

“หรือมันคือหัวธนู?” เขาพูดต่อ ไคร่าสามารถมองเห็นความคิดที่กำลังแล่นในหัวของเขา เขากำลังจะได้ข้อสรุป

เอนวินเดินมาที่ไคร่า ดึงลูกธนูออกมาจากกระบอกของเธอ และเทียบหัวธนูทั้งสองเพื่อให้คนอื่นเห็น มันมีลักษณะเหมือนกันอย่างเห็นได้ชัด เขามองมาที่ไคร่าอย่างภูมิใจ ดูมีความหมาย ไคร่ารู้สึกว่าสายตาทั้งหมดจ้องมาที่เธอ

“ฝีมือของเจ้าไม่ใช่รึ?” เขาถามเธอ ดูเหมือนเป็นการประกาศมากกว่าคำถาม

เธอพยักหน้ากลับไป

“ใช่” เธอตอบอย่างเรียบง่าย เธอชอบเอนวินที่ให้การยอมรับและปกป้องเธอ

“และเป็นการยิงโค่นหมูป่า” เขาสรุป เสียงของเขาหนักแน่น

“ข้าไม่เห็นบาดแผลอื่นนอกจากสองแห่งนี้” เขาเสริม พลางลูบมือไปทั่วตัวของหมูป่า เขาหยุดมืออยู่ที่หู ตรวจสอบดู หันกลับมา มองไปที่แบรนดอนและแบร็กซ์ตันอย่างเหยีดหยัน “เว้นแต่เจ้าจะเรียกรอยข่วนจากคมหอกนี้ว่าบาดแผล”

เขาชูหูของหมูป่าขึ้นมา แบรนดอนและแบร็กซ์ตันหน้าแดงก่ำในขณะที่กลุ่มนักรบหัวเราะ

นับรบที่มีชื่อเสียงอีกคนของพ่อก้าวเท้าออกมาข้างหน้า เขาคือไวดาร์ เขาเป็นเพื่อนสนิทของเอนวิน ชายหนุ่มอายุราวสามสิบ รูปร่างเตี้ย ผอมบาง พร้อมใบหน้าซูบซีด และรอยแผลเป็นทั่วจมูกของเขา ไวดาร์แข็งแกร่งดั่งหิน เขามีชื่อเสียงด้านการต่อสู้มือเปล่า เขาคือผู้ชายที่แข็งแกร่งที่สุดที่ไคร่าเคยพบ เขาสามารถล้มคนร่างยักษ์สองคนที่มีรูปร่างใหญ่กว่าสองเท่า ขนาดตัวของเขาทำให้ผู้ชายหลายต่อหลายคนคิดผิดเมื่อเผชิญหน้ากัน พวกเขาต่างได้บทเรียนจากการเจ็บตัว ไวดาร์ยังเป็นคนที่คอยดูแลไคร่า และคุ้มครองเธอ

“ดูเหมือนพวกเขาจะพลาด” ไวดาร์สรุป “เด็กผู้หญิงช่วยเขาเอาไว้ ใครสอนเจ้าทั้งสองให้ขว้าง?”

แบรนดอนและแบร็กซ์ตันดูเคร่งเครียดมากขึ้น พวกเขาถูกจับได้ว่าโกหก และไม่พูดคำใด ๆ ออกมา

“การโกหกเกี่ยวกับการสังหาร ถือเป็นเรื่องร้ายแรง” เอนวินพูดอย่างเคร่งขรึม เขาหันกลับที่พี่ชายของเธอ “บอกความจริงมา พ่อของพวกเจ้าต้องการให้พูดความจริง”

แบรนดอนและแบร็กซ์ตันยืนนิ่ง ดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด พวกเขามองหน้ากัน กำลังคิดว่าจะพูดอะไรออกไป พวกเขาอ้ำอึ้งพูดไม่ออก นี่เป็นครั้งแรกที่ไคร่าเห็นพวกเขาเป็นแบบนี้

ในขณะที่พวกเขากำลังจะเอ่ยปาก ทันใดนั้น เสียงของคนนอกได้ดังข้ามผ่านฝูงชน

“ไม่สำคัญว่าใครเป็นคนสังหาร” เสียงหนึ่งพูดออกมา “ตอนนี้มันเป็นของพวกเราแล้ว”

ไคร่าหันกลับไปมองพร้อมกับคนอื่น ๆ ตกใจกับน้ำเสียงที่หยาบกร้าน และไม่คุ้นเคย เธอรู้สึกเคว้งคว้างในท้อง เมื่อเธอเห็นกลุ่มคนของลอร์ด โดดเด่นอยู่ในชุดเกราะสีแดง พวกเขากำลังเดินฝ่าฝูงชน ชาวบ้านต่างหลีกทางให้ พวกเขาเดินเข้ามาใกล้หมูป่าและมองอย่างละโมบ ไคร่ารับรู้ได้ว่าพวกเขาต้องการอนุสรณ์แห่งการสังหารนี้ ไม่ใช่เพราะว่าเขาอยากได้ แต่มันคือวิธีการระรานคนของเธอ เพียงเพื่อแย่งความภาคภูมิใจไปจากพวกเขา เลโอขู่คำรามอยู่ข้างเธอ เธอวางมือลงบนคอเพื่อให้มันถอยออกไป

“ในนามของท่านลอร์ดผู้ว่า” คนของลอร์ดพูด ทหารร่างท้วม คิ้วต่ำหนา พุงโต และใบหน้าโง่เขลา “เราขออ้างสิทธิ์ในหมูป่าตัวนี้ เขาขอขอบคุณล่วงหน้ากับของขวัญของพวกเจ้าสำหรับเทศกาลวันหยุด”

เขาชี้นิ้วไปที่คนของเขา พวกเขาก้าวออกมาข้างหน้า กำลังจะคว้าหมูป่า

เมื่อพวกเขาจะทำเช่นนั้น เอนวินก้าวออกมาข้างหน้าทันทีเพื่อขวางพวกเขาไว้ โดยมีไวดาร์อยู่ข้างกาย

ความเงียบงันปกคลุมฝูงชนอีกครั้ง ไม่เคยมีใครกล้าเผชิญหน้ากับทหารของลอร์ด แม้ว่าไม่ได้เป็นกฎที่เขียนเอาไว้ แต่ก็ไม่มีใครต้องการจุดชนวนความโกรธของแพนดีเซีย

“ข้าสามารถบอกได้ว่า ไม่มีใครเสนอรางวัลให้พวกเจ้า” เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นดุจเหล็กกล้า “หรือท่านลอร์ดผู้ว่าของเจ้า”

ผู้คนต่างรวมตัวกันเพื่อดูการเผชิญหน้าอันดุเดือดนี้ ในขณะที่คนอื่น ๆ ถอยห่างออกไป เพื่อสร้างพื้นที่สำหรับคนสองคน บรรยากาศแห่งความตึงเครียดทวีความรุนแรงมากขึ้น

ไคร่ารับรู้ได้ถึงเสียงของหัวใจที่กำลังเต้นรัว เธอจับธนูในมือแน่นโดยไม่รู้ตัว เหตุการณ์กำลังจะบานปลาย มากพอที่จะทำให้เธอต้องการสู้ เธอต้องการอิสรภาพ เธอรู้ว่าคนของเธอไม่ควรทำให้ลอร์ดผู้ว่าโกรธ เพราะพวกเธอคงไม่อาจรับมือได้ เว้นแต่จะมีปาฏิหาริย์บางอย่างที่ช่วยทำให้สามารถจัดการได้ จักรวรรดิแพนดีเซียคอยหนุนหลังพวกเขาอยู่ พวกเขาสามารถสั่งกองกำลังขนาดใหญ่เทียบเท่าผืนทะเล

ในขณะเดียวกันไคร่ากลับรู้สึกภูมิใจที่เอนวินออกมาแสดงตัวต่อหน้าพวกเขา ในที่สุดก็มีคนที่กล้าทำเช่นนี้

ทหารจ้องมองเอนวินอย่างไม่พอใจ

“เจ้ากล้าปฏิเสธท่านลอร์ดผู้ว่าของเรางั้นหรือ?” เขาถาม

เอนวินยังคงยืนกราน

“หมูป่าตัวนี้เป็นของเรา ไม่มีใครมอบมันให้พวกเจ้า” เอนวินพูด

“มันเคยเป็นของพวกเจ้า” ทหารแก้คำพูด “และตอนนี้มันเป็นของพวกเราแล้ว” เขาหันหลังกลับ “เอาหมูป่าไป” เขาสั่งการ

ทหารของลอร์ดเดินข้ามา ทันใดนั้นกลุ่มทหารของพ่อไคร่าก้าวเท้าออกมาข้างหน้า หนุนหลังเอนวินและไวดาร์ ขวางทางทหารของลอร์ด ต่างเตรียมพร้อมกับอาวุธของพวกเขา

ความตึงเครียดมาคุมากขึ้น ไคร่าจับธนูแน่นจนกำปั้นของเธอกลายเป็นสีขาว เธอรู้สึกแย่ในขณะที่ยืนอยู่ตรงนั้น เธอคิดว่าเธอต้องรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดนี้ การสังหารหมูป่าของเธอ เธอสังหรณ์ถึงเรื่องร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น เธอไม่พอใจพี่ชายของเธอที่นำลางร้ายนี้เข้ามายังหมู่บ้านของเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในค่ำคืนแห่งเหมันต์จันทรา ซึ่งมีการเล่าขานกันมายาวนานว่าเรื่องประหลาดมักเกิดขึ้นในวันหยุด ช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์เมื่อความตายสามารถข้ามภพจากอีกโลกหนึ่ง ทำไมพี่ของเธอต้องท้าทายวิญญาณด้วยวิธีนี้?

เมื่อเหล่าทหารเผชิญหน้ากัน ทหารของพ่อเตรียมพร้อมที่จะชักดาบออกมา ทั้งหมดกำลังจะละเลงเลือด ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา ทำลายความเงียบงัน

“การสังหารนี้เป็นของเด็กผู้หญิง” เสียงดังกล่าวพูด

มันเป็นเสียงที่ดังมาก เต็มไปด้วยความมั่นใจ เสียงของคำสั่งการ เสียงที่ไคร่านับถือและเคารพมากกว่าใครในโลกนี้ พ่อของเธอ ผู้บัญชาการดันแคน

สายตาทั้งหมดหันไป พ่อของเธอเดินใกล้เข้ามา ฝูงชนต่างหลีกทางให้อย่างเคารพยกย่อง เขายืนอยู่ที่นั่น ชายรูปร่างใหญ่ดุจภูเขา สูงกว่าคนอื่นสองเท่า และไหล่ที่กว้างกว่าคนทั่วไปสองเท่า เคราของเขาสีน้ำตาล ผมสีน้ำตาลยาวสลับกับสีเทา สวมขนสัตว์ไว้บนบ่า แบกดาบยาวสองเล่มบนเข็มขัด พร้อมหอกไขว้ที่หลัง สวมเกราะสีดำของโวลิสที่มีรูปสลักมังกรอยู่บนอก แสดงถึงสัญลักษณ์ของกลุ่ม อาวุธของเขาเต็มไปด้วยรอยบากและรอยขูดขีด อันเกิดจากประสบการณ์และการต่อสู้มากมายนับไม่ถ้วน เขาคือชายที่น่าเกรงกลัว ชายที่น่ายกย่อง ชายผู้มีความเที่ยงธรรม เหนือสิ่งอื่นใด เขาเป็นชายที่รักและเคารพนับถือ

“มันคือการสังหารของไคร่า” เขาพูดย้ำ มองไปยังพี่ชายของเธอด้วยความผิดหวัง แล้วหันกลับมามองไคร่า โดยไม่สนใจทหารของลอร์ด “ไคร่าจะเป็นคนตัดสินชะตาของมัน”

ไคร่ารู้สึกตกใจกับคำพูดของพ่ออย่างยิ่ง เธอไม่คิดว่ากลายจะเป็นแบบนี้ ไม่คิดว่าพ่อจะผลักความรับผิดชอบให้มาอยู่ในมือของเธอ การปล่อยให้เธอทำการตัดสินใจอันหนักอึ้ง นี่ไม่ใช่เพียงแค่การตัดสินใจแค่เรื่องหมูป่า พวกเขาต่างรู้ดี แต่มันคือการตัดสินใจที่เกี่ยวกับชะตากรรมของทุกคนที่อยู่ภายใต้ป้อมปราการแห่งนี้

ทหารต่างยืนเรียงแถวอย่างดุดันคนละฝั่ง ทั้งหมดถือดาบอยู่ในมือ เธอมองดูพวกเขา ทุกคนมองมาที่เธอ รอการตัดสินใจจากเธอ เธอตระหนึกถึงสิ่งที่ต้องเลือก คำที่กำลังจะเอ่ย เพราะมันจะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดในชีวิตของเธอ




บทที่สี่


เมิร์คค่อย ๆ เดินลงมาจากป่า แหวกตัวผ่านต้นไวท์วูด พลางนึกย้อนถึงชีวิตที่ผ่านมา สี่สิบปีของเขานับเป็นช่วงเวลาที่ช่างยากลำบาก เขาไม่เคยเดินทางในป่า ไม่เคยได้ใช้เวลาชื่นชมกับความงดงามรอบตัว เขาก้มลงดูใบไม้สีขาวที่ถูกบดละเอียดอยู่ใต้ฝ่าเท้า สลับกับเสียงของไม้เท้าที่แตะลงบนผืนป่าอันอ่อนนุ่ม ในขณะที่เดินไปนั้น เขาเงยหน้าขึ้นมองความสวยงามของต้นอีสป ที่ปกคลุมด้วยใบสีขาวสว่างและกิ่งก้านประกายแดง ส่องแสงระยิบระยับรับอรุณแรกยามเช้า ใบของมันกำลังร่วงหล่น โปรยปรายลงมาราวกับหิมะ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้สัมผัสกับความสงบสุขอย่างแท้จริง

รูปร่างและความสูงของเขาเหมือนกับคนทั่วไป เขามีผมสีดำเข้ม หนวดเครารุงรัง กรามกว้าง คางยาว โหนกแก้มยื่นออกมา และดวงตาสีดำโตที่มีรอยคล้ำใต้ตา สภาพของเมิร์คตอนนี้ราวกับว่าเขาไม่ได้นอนมาหลายวันแล้ว ในที่สุด เขาก็รู้สึกเหมือนได้พักผ่อนจริง ๆ เสียที ที่แห่งนี้ในเขตเยอร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเอสคาลอนไม่มีหิมะตก ลมหนาวจากมหาสมุทรพัดโชยมา ต่างจากทางตะวันตกที่มีอากาศอบอุ่นกว่าและใบไม้หลากสีสัน ทำให้เมิร์คสามารถค้างคืนได้โดยการใส่เสื้อคลุมแค่ตัวเดียว ไม่ต้องกลัวอากาศหนาวเย็นเหมือนในเอสคาลอน เขาเริ่มเคยชินกับการสวมใส่เสื้อคลุมแทนชุดเกราะ ถือไม้เท้าแทนดาบ แตะใบไม้ด้วยไม้เท้าของเขาแทนการทิ่มแทงศัตรูด้วยคมมีด ทั้งหมดเป็นสิ่งใหม่สำหรับเขา เขาอยากสัมผัสถึงความรู้สึกที่ได้กลายเป็นคนใหม่ตามที่เขาปรารถนา มันเป็นความสงบสุข แต่ดูน่าอึดอัดใจ ราวกับว่าเขากำลังเสแสร้งเป็นใครบางคนที่ไม่ใช่ตัวตนของเขา

เมิร์คไม่ใช่นักเดินทาง ไม่ใช่พระ หรือผู้ชายรักสงบทั่วไป เขายังคงเป็นอย่างเคย สิ่งที่อยู่ในสายเลือดของเขา การเป็นนักรบและไม่ใช่เพียงแค่นักรบทั่วไป เขาคือชายที่ต่อสู้ด้วยกฎของเขาเอง ผู้ซึ่งไม่เคยพ่ายแพ้ในการต่อสู้ใด ๆ เขาคือชายผู้ไม่เกรงกลัวแม้แต่การต่อสู้ในลานประลองทวน ตลอดจนตรอกท้ายโรงเตี๊ยมซึ่งเป็นสถานที่โปรดของเขา บางคนเรียกเขาว่านักรบรับจ้าง นักฆ่า นักดาบรับจ้าง เขาได้รับการขนานนามหลากหลายชื่อ บ้างก็ดูเกินจริงไปหน่อย แต่เมิร์คไม่สนใจกับชื่อเหล่านั้น เขาไม่สนว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร ทั้งหมดที่เขาสนใจคือเขาเป็นคนหนึ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด

เพื่อให้เหมาะสมกับบทบาทของเขา เมิร์คได้เปลี่ยนชื่อมามากมายด้วยตัวของเขาเอง เขาเปลี่ยนตามอำเภอใจ เขาไม่ชอบชื่อที่พ่อของเขาตั้งให้ อันที่จริง เขาไม่ชอบพ่อ และเขาไม่ใช่คนที่จะดำเนินชีวิตตามที่คนอื่นบงการ เมิร์คคือชื่อที่เปลี่ยนมาใช้บ่อยที่สุด และตอนนี้เขาชอบชื่อนี้ เขาไม่สนใจว่าคนอื่นจะเรียกเขาอย่างไร เขาสนเฉพาะสองสิ่งในชีวิต นั่นคือ การค้นหาตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการปักคมมีด และผู้ว่าจ้างต้องจ่ายรางวัลให้เขาด้วยทองคำใหม่เอี่ยมในปริมาณมาก

เมิร์คค้นพบเมื่อตอนเด็กว่าเขามีพรสรรค์โดยกำเนิด สิ่งที่เขาทำเหนือกว่าคนอื่น ๆ พี่ชาย พ่อและบรรพบุรุษที่มีชื่อเสียงทั้งหมดของเขาดูภาคภูมิใจกับการเป็นอัศวินที่มีเกียรติ สวมชุดเกราะที่ดีที่สุด กวัดแกว่งด้วยเหล็กที่ดีที่สุด เคลื่อนไหวอย่างอิสระบนม้า โบกสะบัดตราสัญลักษณ์ไปมาพร้อมผมที่มีกลิ่นเหมือนดอกไม้ และเอาชนะการแข่งขันที่ผู้หญิงต่างโยนดอกไม้มาที่เท้าของพวกเขา นั่นเป็นความภูมิใจสูงสุดของพวกเขา

เมิร์คเกลียดงานเอิกเกริก การเป็นที่สนใจ อัศวินทั้งหมดเหล่านั้นดูเหมือนจะงุ่มง่ามในการสังหาร ไร้ประสิทธิภาพที่สุด เมิร์คไม่เคยรู้สึกเคารพหรือยอมรับในตัวพวกเขา แม้แต่เครื่องหมาย ตราสัญลักษณ์หรือปลอกแขนที่เหล่าอัศวินโหยหา พวกเขาขาดสิ่งสำคัญมากที่สุด มันคือทักษะในการคร่าชีวิตคนอย่างรวดเร็ว เงียบเชียบ และมีประสิทธิภาพ เขาไม่มีอะไรในใจที่จะพูดถึงอีกแล้ว

เมื่อครั้งที่เขายังเด็ก เพื่อนเขาตัวเล็กเกินไปที่จะปกป้องตัวเองและมักถูกรังแกอยู่เสมอ พวกเขามาหาเมิร์ค เพราะรู้ว่าเขาเก่งกาจเรื่องดาบ เมิร์ครับเงินมาและทำหน้าที่ปกป้องพวกเขา พวกอันธพาลไม่เคยกลับมารังแกพวกเขาอีกเลย ความกล้าหาญของเมิร์คได้รับการบอกกล่าวต่อกันไปอย่างรวดเร็ว ความสามารถในการฆ่าคนของเขาพัฒนามากขึ้น และเขาได้รับเงินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

เมิร์คสามารถกลายป็นอัศวิน นักรบผู้มีชื่อเสียงเช่นเดียวกับพี่ชายของเขา แต่เขาเลือกที่จะอยู่ในด้านมืด ชัยชนะคือสิ่งที่เขาสนใจ ความตายอย่างมีประสิทธิภาพ เขาค้นพบว่าอัศวินผู้มีอาวุธอันงดงามและชุดเกราะขนาดใหญ่นั้นไม่สามารถสังหารเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วแม้แต่ครึ่งหนึ่งเช่นที่เขาทำ ชายผู้โดดเดี่ยวสวมเสื้อหนังและมีดอันคมกริบ

ในขณะที่เมิร์คเดินไต่เขาและใช้ไม้เท้าปักลงบนใบไม้ เขานึกถึงคืนหนึ่งในโรงเตี๊ยมที่ได้อยู่กับพี่น้องของเขา ดาบถูกชักออกมาพร้อมกับอัศวินคู่แค้น พี่ชายของเขาถูกล้อมรอบ พวกมันมีจำนวนมากกว่า และในขณะที่อัศวินแฟนซียืนอยู่ในงานเลี้ยง เมิร์คไม่ลังเล เขาปากริชข้ามตรอกและตัดคอของพวกมันทั้งหมดก่อนที่พวกมันจะทันชักดาบออกมา

แทนที่พี่ของเขาจะขอบคุณที่ได้รับการช่วยชีวิต พวกเขากลับตีตัวออกห่าง พวกเขาหวาดกลัวและดูถูกเมิร์ค นั่นคือการขอบคุณที่เขาได้รับ การทรยศทำให้เมิร์คเจ็บปวดเหนือการสรรหาคำพูดใดมาอธิบาย เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาแตกแยก ความสูงส่ง ความกล้าหาญทั้งหมด ล้วนเป็นสิ่งหลอกลวงในสายตาของเมิร์ค พวกเขาเดินจากไปด้วยเกราะที่เงางามและเหยียดหยันเมิร์ค ถ้าไม่ใช่เพราะฝีมือและคมมีดของเขา พวกนั้นคงนอนตายอยู่หลังตรอกตั้งแต่วันนั้นแล้ว

เมิร์คเดินขึ้นไปเรื่อย ๆ พลางถอนหายใจ พยายามละทิ้งอดีตที่ผ่านมา เขาตระหนักได้ว่าจริง ๆ แล้วเขาไม่เข้าใจที่มาของพรสวรรค์ในตัว อาจเป็นเพราะเขารวดเร็วและว่องไว ไม่ก็ความเร็วของมือและข้อมือ เขาอาจมีพรสวรรค์พิเศษในการค้นหาจุดสำคัญของมนุษย์ก็เป็นได้ หรืออาจเป็นเพราะเขาไม่เคยลังเลที่จะก้าวไปอีกขั้น การทิ่มแทงครั้งสุดท้ายที่ทุกคนต่างกลัว อาจเพราะเขาไม่เคยต้องลงมือซ้ำสอง หรือเพราะว่าเขาสามารถทำได้โดยไม่ต้องเตรียมการ สังหารได้ด้วยเครื่องมือทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นปากกาขนนก ค้อน ท่อนไม้เก่า เขาสามารถสร้างสรรค์ได้ไม่จำกัด พลิกแพลงได้มากกว่าคนอื่นและว่องไวกว่า นับเป็นการผสมผสามอันน่าสะพรึงกลัว

เมื่อโตขึ้นมา อัศวินที่ภาคภูมิใจเหล่านั้นได้ตีตัวออกห่างจากเขา แม้แต่แสดงการเยาะเย้ยเขาผ่านลมหายใจ (ไม่มีใครเคยเยาะเย้ยเขาต่อหน้า) แต่ตอนนี้พวกเขาแก่ตัวลง อำนาจของพวกเขาเสื่อมถอย ในขณะที่ชื่อเสียงของเมิร์คกระจายไปทั่ว เขาคือคนที่ได้รับการเกณฑ์ไปโดยพระราชา พวกเขาทั้งหมดถูกลืม เพราะพี่ของเขาไม่เคยเข้าใจว่า ความกล้าหาญ ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้พระราชาเป็นพระราชา แต่ความน่ารังเกียจ ความรุนแรงป่าเถื่อน ความกลัว การกำจัดศัตรูทีละคน และการสังหารที่น่าสยดสยองที่ไม่มีใครอยากทำ ล้วนเป็นสิ่งที่สร้างพระราชา เขาคือคนที่ได้รับการพิจารณาเมื่อต้องการงานที่แท้จริงสำหรับสิ่งที่พระราชาต้องสะสาง

การปักไม้เท้าลงบนพื้นแต่ละครั้งทำให้เมิร์คนึกถึงเหยื่อแต่ละรายของเขา เขาได้สังหารศัตรูที่เลวร้ายที่สุดของพระราชาโดยไม่ใช้พิษ ภารกิจนั้นเขาต้องใช้มือสังหารกระจอก ๆ นักผสมยา หญิงสาวล่อใจ รายที่เลวร้ายที่สุดคือพวกเขาต้องการสังหารพร้อมคำแถลง และการทำเช่นนั้น พวกเขาจำเป็นต้องใช้เมิร์ค เพื่อทำบางอย่างที่สยดสยอง การป่าวประกาศด้วยมีดในลูกตา ทิ้งร่างเอาไว้กลางจัตุรัสเมือง ห้อยโตงเตงจากหน้าต่าง เพื่อให้ทุกคนมองเห็นในตอนพระอาทิตย์ขึ้น เพื่อให้ทุกคนสงสัยว่าใครกันที่กล้าคิดต่อต้านพระราชา

เมื่อกษัตริย์ทาร์นิส ผู้เป็นพระราชาองค์ก่อนยอมจำนนต่ออาณาจักรแพนดีเซีย เมิร์คถูกให้ความสำคัญน้อยลง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกไร้จุดหมาย การไม่มีพระราชาให้รับใช้ทำให้เขารู้สึกเคว้งคว้าง บางอย่างที่อยู่ภายในก่อตัวขึ้นมา เหตุผลบางอย่างเขาไม่เข้าใจ เขาเริ่มสงสัยเกี่ยวกับชีวิตตัวเอง ชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดของเขาถูกครอบงำด้วยความตาย การเข่นฆ่า การพรากชีวิต ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องง่าย ง่ายเกินไป แต่ตอนนี้ บางอย่างภายในตัวของเขากำลังเปลี่ยนแปลง ราวกับว่าเขาแทบจะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพื้นที่มั่นคงใต้ฝ่าเท้า เขารู้อยู่เสมอว่าชีวิตบอบบางขนาดไหน การพรากชีวิตง่ายดายเพียงใด แต่ตอนนี้เขาเริ่มสงสัยเกี่ยวกับการรักษาชีวิต ชีวิตช่างบอบบาง การรักษาชีวิตไม่น่าท้าทายมากกว่าการแย่งชิงชีวิตหรือ?

และนอกจากตัวของเขาเองแล้ว เขาเริ่มสงสัยว่าสิ่งที่เขาแย่งชิงจากผู้อื่นคืออะไร?

เมิร์คไม่รู้ว่าอะไรจุดประกายให้เขาย้อนดูตัวเอง แต่มันทำให้เขาไม่สบายใจอย่างยิ่ง บางอย่างเผยออกมาภายใต้จิตใจสำนึกของเขา ความรู้สึกสะอิดสะเอียน เขาเริ่มเบื่อหน่ายกับการเข่นฆ่า เขารู้สึกเกลียดชังการฆ่าที่สุดแม้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยมีความสุขกับมัน เขาหวังว่าจะมีบางสิ่งที่จุดชนวนเรื่องราวทั้งหมดนี้ สิ่งนั้นค่อย ๆ คืบคลานออกมาตัวจากเขาโดยไม่มีสาเหตุ และนั่นทำให้เขารำคาญอย่างที่สุด

เมิร์คไม่เหมือนกับนักรบรับจ้างคนอื่น ๆ เขาลงมือทำตามความเชื่อมั่นของเขาเท่านั้น เขาทำภารกิจได้เป็นอย่างดี ค่าจ้างสูงเกินไป ผู้ว่าจ้างเป็นคนสำคัญเกินไป เขาเริ่มมองไม่เห็นเส้นกั้น ยอมรับการฆ่าคนที่ไม่ได้ทำผิดอย่างเลี่ยงไม่ได้ และนั่นคือสิ่งที่กำลังรบกวนเขา

เมิร์คเริ่มปรารถนาการไม่ทำสิ่งใด เพราะเขาทำมาพอแล้ว เพื่อพิสูจน์กับผู้อื่นว่าเขาสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ เขาต้องการลบเรื่องราวในอดีตทั้งหมด อยากย้อนคืนสิ่งที่ทำลงไป เพื่อเป็นการสำนึกผิด เขาได้ปฏิญาณตนกับตัวเองว่าเขาจะไม่ฆ่าใครอีกแล้ว ไม่แม้แต่จะยกนิ้วแตะต้องใคร เขาจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อเฝ้าขอพระเจ้าให้อภัย เพื่ออุทิศตัวของเขาในการช่วยเหลือผู้อื่น เพื่อกลายเป็นคนที่ดีกว่าเดิม นั่นคือเรื่องราวทั้งหมดที่ได้นำเขามาสู่ป่าที่กำลังเดินอยู่ขณะนี้พร้อมไม้เท้าของเขา

เมิร์คมองเห็นเส้นทางป่าชันขึ้นและดิ่งลง ใบไม้สีขาวสะท้อนแสงพร่างพราว เขาตรวจสอบเส้นขอบฟ้าอีกครั้งเพื่อมองหาหอคอยเยอร์ แต่ยังคงไร้ซึ่งวี่แวว เขารู้ว่าท้ายที่สุดเส้นทางนี้ต้องนำเขาไปยังที่นั่น การเดินทางแสวงบุญครั้งนี้ได้เรียกหาเขามาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว เขาหลงใหลนิทานผู้เฝ้ามองตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ระเบียบลับของอัศวิน ครึ่งหนึ่งเป็นมนุษย์และอีกครึ่งเป็นบางอย่าง งานของเขาคือการสิงสถิตอยู่ในหอคอยทั้งสอง หอคอยเยอร์ทางตะวันตกเฉียงเหนือและหอคอยโคสทางตะวันออกเฉียงใต้ คอยปกป้องโบราณวัตถุที่สำคัญที่สุดของอาณาจักร มันคือดาบแห่งเพลิงในตำนาน ที่เปลวไฟยังคงเผาไหม้อยู่ ไม่มีใครรู้ว่าดาบนี้อยู่ในหอคอยไหนกันแน่ ความลับที่ปกปิดไว้ไม่มีผู้ใดทราบ นอกจากผู้เฝ้ามองโบราณกาล ถ้ามันถูกเคลื่อนย้ายหรือถูกขโมย เปลวไฟอาจหายไปตลอดกาล และเอสคาลอนจะสุ่มเสี่ยงจากการโจมตี

เล่ากันว่าการยืนมองเหนือหอคอยคือการเรียกที่สูงส่ง มันเป็นหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์และทรงเกียรติ ถ้าได้รับการยอมรับจากผู้เฝ้ามอง เมิร์คใฝ่ฝันถึงผู้เฝ้ามองมาตลอดชีวิตตั้งแต่เขายังเด็ก ยามเข้านอนตอนกลางคืน เขาเฝ้าสงสัยว่าการเข้าร่วมตำแหน่งนี้จะเป็นอย่างไร เขาต้องการปลดปล่อยตัวเองสู่ความสันโดษ การรับใช้ การย้อนมองตัวเอง และเขารู้ว่าไม่หนทางไหนดีกว่าการเป็นผู้เฝ้ามองอีกแล้ว เมิร์ครู้สึกว่าเขาพร้อมแล้ว เขาปลดเกราะเหล็กออกสวมเสื้อหนังแทน และถือไม้เท้าแทนดาบ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาผ่านพ้นราตรีได้โดยไม่ต้องเข่นฆ่าหรือทำร้ายผู้ใด เขาเริ่มรู้สึกดีกับตัวเอง

เมื่อเมิร์คขึ้นมาสู่ยอดเนินเขาเล็ก ๆ เขามองหาอย่างมีความหวัง หลังจากเดินมาทั้งวัน เขาหวังว่ายอดเขานี้ต้องเผยให้เห็นหอคอยเยอร์บนที่หนึ่งของเส้นขอบฟ้า แต่มันกลับว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดนอกจากป่ามากมายที่ทอดยาวสุดสายตา แต่เขารู้ว่าเขาใกล้ถึงแล้ว หลังจากการปีนเขามาหลายวัน หอคอยน่าจะอยู่ไม่ไกล

เมิร์คเดินลงไปตามเนินเขา ป่าเริ่มหนาขึ้น เมื่อเขาลงมาถึงข้างล่าง เขาพบกับต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ล้มขวางทางอยู่ เขาหยุดและมองดูมัน ชื่นชมกับขนาด กำลังคิดหาทางที่จะข้ามผ่านต้นไม้นี้

“ข้าว่านั่นน่าจะไกลมากพอแล้ว” เสียงอันร้ายกาจเปล่งออกมา

เมิร์ครับรู้ได้ถึงความประสงค์ร้ายที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงได้ทันที บางอย่างที่เขาเคยเชี่ยวชาญ เขาไม่จำเป็นต้องหันไปมองก็รู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เขาได้ยินเสียงเหยียบใบไม้รอบตัวเขา และใบหน้าที่ปรากฏออกมาจากป่าช่างน่ากลัวยิ่งนัก แต่ละใบหน้าดูไม่เกรงกลัวต่อความตาย พวกมันคือใบหน้าของคนที่สังหารโดยไร้เหตุผล ใบหน้าของโจรทั่วไป นักฆ่าที่ออกล่าเหยื่อแบบสุ่มไปเรื่อย และความรุนแรงอันโง่เขลา ในสายตาของเมิร์ค พวกมันคือที่สุดของสิ่งชั้นต่ำ

เมิร์คถูกปิดล้อม เขาเดินเข้ามาในกับดัก รีบเพ่งสายตาไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็วโดยไม่ให้พวกมันทันสังเกต สัญชาตญาณเก่าของเขาตื่นตัว และเขานับได้ว่าพวกมันมีกันแปดคน ทั้งหมดถือมีดสั้น สวมชุดซอมซ่อ ใบหน้า มือและเล็บสกปรก ทั้งหมดมีใบหน้าที่แสดงถึงภาวะเข้าตาจน พวกมันคงไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว และพวกมันรู้สึกเบื่อ

เมิร์คเริ่มรู้สึกตึงเครียดเมื่อหัวหน้ากลุ่มโจรเข้ามาใกล้ขึ้น นั่นไม่ใช่เพราะว่าเขาหวาดกลัว เมิร์คสามารถฆ่าเขาได้ สามารถฆ่าพวกมันทั้งหมดโดยไม่ต้องกระพริบตา ถ้าเขาเลือกที่จะทำ แต่สิ่งที่ทำให้เขาวิตกคือความเป็นไปได้ที่จะถูกบีบบังคับให้ต้องใช้ความรุนแรง ทั้งที่เขาตั้งใจแล้วว่าจะรักษาคำสัตย์ของตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม

“เอาไงดี?” หนึ่งในพวกมันถาม เดินเข้ามาใกล้ และวนรอบเมิร์ค

“ดูเหมือนจะเป็นพระ” อีกคนหนึ่งพูด เสียงของเขาดูเย้ยหยัน “แต่รองเท้าบูทนั่นดูไม่เข้ากัน”

“บางทีเขาคือพระที่คิดว่าตัวเองคือทหาร” อีกคนหัวเราะ

พวกมันทั้งหมดส่งเสียงหัวเราะ ผู้ชายท่าทางโง่ ๆ อายุราวสี่สิบ ฟันหน้าไม่มี หนึ่งในพวกมันยื่นหน้าเข้ามาพร้อมลมหายใจกลิ่นเหม็นและกระแทกหัวไหล่เมิร์ค เมิร์คคนเดิมสามารถฆ่าคนที่เข้ามาใกล้ได้ในพริบตา

แต่เมิร์คคนใหม่ตั้งใจแล้วว่าจะเป็นคนที่ดีกว่า วางตัวเหนือความรุนแรง แม้ว่ามันจะดูเหมือนเป็นการรนหาที่ตายของพวกเขา เมิร์คหลับตาลง สูดหายใจเข้าลึก ๆ และบังคับตัวเองให้ใจเย็น

จงอย่าพึ่งพาความรุนแรง เขายับยั้งตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า

“พระรูปนี้เข้ามาทำอะไร?” หนึ่งในพวกมันถาม “สวดมนต์หรือ?”

พวกมันทั้งหมดโพล่งหัวเราะออกมาอีกครั้ง

“พระเจ้าช่วยเจ้าไม่ได้หรอก พ่อหนุ่มน้อย!” อีกคนตะโกนออกมา

เมิร์คลืมตาขึ้น และจ้องกลับไปยังพวกคนโง่เขลา

“ข้าไม่อยากทำร้ายพวกเจ้า” เขาพูดอย่างใจเย็น

เสียงหัวเราะนั้นยิ่งดังมากขึ้นกว่าเดิม เมิร์คตระหนักแล้วว่าการอยู่อย่างใจเย็น โดยไม่ตอบสนองด้วยความรุนแรง ช่างเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่งนัก

“ถ้างั้นพวกเราก็โชคดีสิเนี่ย!” อีกคนตอบ

พวกมันหัวเราะอีกครั้ง แล้วทั้งหมดก็เงียบลง เมื่อหัวหน้าของพวกมันก้าวมาข้างหน้าและพูดใส่หน้าเมิร์ค

“แต่ทว่า” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใกล้จนเมิร์คสามารถได้กลิ่นลมเหม็น ๆ ที่ออกมาจากปาก “พวกข้าอยากจะทำร้ายเจ้า”

ชายอีกคนเข้ามาด้านหลัง เขารัดแขนหนา ๆ รอบลำคอของเมิร์ค และเริ่มรัดแน่นขึ้น เมิร์คอ้าปากกว้างในขณะที่กำลังโดนบีบคอ แรงบีบแน่นมากพอที่จะทำให้เขาเจ็บปวด แต่ไม่มากพอที่จะตัดขาดอากาศทั้งหมด เขาสามารถตอบสนองกลับด้วยการเอื้อมมือไปข้างหลังและฆ่าชายคนนี้ซะ มันเป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย เขารู้ตำแหน่งความดันที่เหมาะสมของปลายแขนที่จะทำให้เขาปล่อยมือออก แต่เมิร์คฝืนตัวเองไม่ให้ทำ

ปล่อยพวกมันไป เขาบอกตัวเขาเอง เส้นทางแห่งความนอบน้อมต้องมีจุดเริ่มต้นที่ไหนสักแห่ง

เมิร์คมองไปที่ผู้นำของพวกมัน

“เอาของของข้าไป อะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ” เมิร์คพูด หายใจหอบ “เอามันไปและไปตามทางของเจ้า”

“ถ้าพวกข้าเอาไป แล้วยังอยู่ที่นี่ล่ะ?” ผู้นำตอบ

“ไม่มีใครถามเจ้าว่าเราสามารถเอาอะไรได้หรือไม่ได้ ไอ้หนู” อีกคนตอบ

หนึ่งในพวกมันเดินออกมาและรื้อค้นเอวของเมิร์ค มือแห่งความโลภกำลังค้นหาของติดตัวอันน้อยนิดที่เขาเหลืออยู่บนโลกนี้ เมิร์คบังคับให้ตัวเองใจเย็นในขณะที่มือนั้นยังคงคลำหาทุกอย่างที่เขาเป็นเจ้าของ พวกมันเทมีดสีเงินออกมา อาวุธโปรดของเขา เมิร์คยังคงเจ็บปวด และไม่ตอบโต้

ปล่อยมันไป เขาบอกตัวเอง

“นี่อะไรน่ะ?” อีกคนถาม “มีดสั้นหรือ?”

เขาจ้องหน้าเมิร์ค

“พระแต่งตัวเช่นเจ้าพกมีดด้วยหรือ?” หนึ่งในนั้นถาม

“เจ้ากำลังจะทำอะไรน้องชาย แกะสลักไม้หรือ?” อีกคนถาม

พวกมันทั้งหมดหัวเราะ เมิร์คกัดฟันแน่น สงสัยว่าเขาจะทนได้อีกนานแค่ไหน

ผู้ชายที่เอามีดไปหยุดกับที่ มองดูข้อมือเมิร์ค และดึงแขนของเขาออกมา เมิร์คพยายามอดกลั้น เมื่อรู้ว่าพวกมันเห็นสิ่งนั้นแล้ว

“นี่อะไร?” โจรถาม จับข้อมือของเมิร์คและชูขึ้นมาเพื่อตรวจสอบดู

“ดูเหมือนหมาจิ้งจอก” คนหนึ่งพูด

“ทำไมพระถึงมีรอยสักรูปหมาจิ้งจอก?” อีกคนถาม

ชายอีกคนก้าวมาข้างหน้า ชายรูปร่างสูง ผอมบาง ผมสีแดง เขาจับข้อมือของเมิร์ค ตรวจสอบอย่างใกล้ชิด เขาปล่อยมือลง และมองมาที่เมิร์คด้วยสายตาหวาดระแวง

“นั่นไม่ใช่หมาจิ้งจอกไอ้พวกโง่” เขาพูดกับพรรคพวก “มันคือหมาป่า เครื่องหมายของชายที่เป็นคนของพระราชา พวกทหารรับจ้าง”

เมิร์ครู้สึกว่าใบหน้าของเขาแดงก่ำ เมื่อเขารู้ว่าพวกมันกำลังจ้องไปที่รอยสักของเขา เขาไม่อยากให้ใครเห็นมัน

โจรทั้งหมดเงียบลง จ้องไปยังรอยสัก และเป็นครั้งแรกที่เมิร์คเห็นความลังเลบนใบหน้าของพวกมัน

“นั่นคือลำดับของนักฆ่า” อีกคนพูดแล้วถามต่อ “เจ้าได้รอยสักนี้มาอย่างไร?”

“บางทีมันอาจทำขึ้นมาเองก็ได้” อีกคนตอบ “เพื่อให้การเดินทางปลอดภัยขึ้น”

ผู้นำพยักหน้าบอกคนของเขาให้ปล่อยแขนที่รัดคอออก เมิร์ครีบสูดหายใจเข้าลึก ๆ รู้สึกผ่อนคลาย แต่หัวหน้าโจรเดินเข้ามา และจ่อมีดลงบนคอของเมิร์ค เมิร์คสงสัยว่าถ้าเขาตายที่นี่ ในสถานที่แห่งนี้ มันอาจเป็นบทลงโทษสำหรับการสังหารทั้งหมดที่เขาทำ เขาสงสัยว่าเขาพร้อมที่จะยอมรับความตาย

“ตอบเขาสิ” หัวหน้าโจรตะคอก “เจ้าทำขึ้นมาเองใช่ไหม? พวกเขาพูดว่าเจ้าต้องฆ่าคนหนึ่งร้อยเพื่อให้ได้รอยสักนั้นมา”

เมิร์คสูดหายใจ ท่ามกลางความเงียบสงัด เมิร์คกำลังคิดว่าจะพูดอะไรออกไป ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจออกมา

“หนึ่งพัน” เขาพูด

ผู้นำกระพริบตา ทำหน้าฉงน

“อะไรนะ?” เขาถาม

“พันคน” เมิร์คอธิบาย “นั่นคือสิ่งที่ทำให้ได้รอยสักนั้นมา มันถูกมอบให้ข้าโดยพระราชาทาร์นิส”

พวกมันทั้งหมดจ้องมองอย่างตกใจ ตามมาด้วยความเงียบปกคลุมไปทั่วป่า เงียบมากจนเมิร์คสามารถได้ยินเสียงแมลงร้อง เขาสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

หนึ่งในพวกมันส่งเสียงหัวเราะออกมาเหมือนคนบ้า และคนที่เหลือก็หัวเราะตาม พวกมันทั้งหมดหัวเราะดังลั่น ในขณะที่เมิร์คยืนอยู่ที่นั่น กำลังคิดว่ามันคงเป็นเรื่องตลกที่สุดที่พวกมันเคยได้ยิน

“ตลกมากน้องชาย” โจรพูด “เจ้าเป็นพระที่โกหกเก่งชะมัด”

ผู้นำผลักมีดเข้ามาที่คอของเขา แรงพอที่จะทำให้เลือดไหล

“ข้าบอกว่าให้ตอบมา” หัวหน้าย้ำ “คำตอบที่แท้จริง เจ้าอยากตายตอนนี้ใช่ไหม?”

เมิร์คยืนอยู่ตรงนั้น รู้สึกเจ็บปวด เขาคิดทบทวนคำถาม ครุ่นคิดอย่างจริงจัง เขาต้องการตายที่นี่หรือ? มันเป็นคำถามที่ดี และมันเป็นคำถามที่ลึกซึ้งเกินกว่าที่พวกโจรคาดคิด ในขณะที่เขากำลังใช้ความคิด เขาตระหนักได้ว่าใจหนึ่งเขาเองก็อยากตาย เขาเหนื่อยกับการมีชีวิต ความเหนื่อยล้าที่แทรกซึมเข้ากระดูก

แต่เมื่อเขาใคร่ครวญอย่างถ่องแท้ เมิร์คกลับคิดว่าเขายังไม่พร้อมที่จะตาย ไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ใช่วันนี้ ไม่ใช่ตอนที่เขาพร้อมเริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่ใช่ตอนที่เขาเริ่มมีความสุขกับการใช้ชีวิต เขาต้องการโอกาสเพื่อเปลี่ยนแปลง เขาต้องการโอกาสเพื่อรับใช้หอคอย เพื่อกลายเป็นผู้เฝ้ามอง

“ไม่ จริง ๆ แล้วข้ายังไม่อยากตาย” เมิร์คตอบ

แววตาของเขามุ่งมั่น ความฮึกเหิมกำลังก่อตัวขึ้นภายในใจของเขา

“และด้วยเหตุผลนั้น” เขาพูดต่อ “ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้งในการปล่อยข้าไป ก่อนที่ข้าจะฆ่าพวกเจ้าทั้งหมด”

พวกโจรมองมาที่เขาอย่างตกตะลึง ก่อนที่หัวหน้าโจรจะทำหน้าบึ้งและเริ่มลงมือ

เมิร์ครู้สึกถึงคมดาบที่เริ่มเฉือนลงบนคอของเขา บางอย่างภายในตัวของเขากำลังตอบสนอง มันคือความเชี่ยวชาญของเขา สิ่งที่เขาทำการฝึกฝนมาทั้งชีวิต เขาไม่สามารถทนได้อีกต่อไป นั่นหมายถึงการผิดต่อคำสาบานของตัวเอง…แต่เขาไม่สนใจมันอีกต่อไปแล้ว

เมิร์คคนเก่ากลับมาอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าไม่เคยจากไปไหน…และในชั่วพริบตา เขาพบว่าตัวเองกลับเข้าสู่วังวนของการเป็นนักฆ่าอีกครั้ง

เมิร์คเพ่งสมาธิและมองดูการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ทั้งหมด ทุกการกระตุก ทุกจุดของแรงกดดัน ทุกตำแหน่งที่เปราะบาง ความปรารถนาที่จะฆ่าพวกมันทั้งหมดได้เข้าครอบงำเขาเรียบร้อยแล้ว ความรู้สึกที่คุ้นเคยเหมือนดังเพื่อนเก่า และเมิร์คปล่อยให้มันเป็นไป

ภายในการเคลื่อนไหวแบบสายฟ้าแลบเพียงครั้งเดียว เมิร์คจับข้อมือของหัวหน้าโจร กดนิ้วลงไปที่จุดหลอดลม กดลงไปจนมันแตก แล้วนั้นคว้ามีดที่หล่นลง เฉือนคอของชายคนนั้นจากหูข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่ง

หัวหน้าของพวกโจรจ้องมองเมิร์คด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่จะล้มลงบนพื้น และนอนตายแน่นิ่ง

เมิร์คหันกลับไปและเผชิญหน้ากับพวกที่เหลือ ทั้งหมดจ้องกลับมา ตกตะลึง อ้าปากค้าง

ตอนนี้ถึงตาของเมิร์คที่จะเป็นฝ่ายยิ้ม เขามองดูพวกมันทั้งหมด รู้สึกเพลิดเพลินอย่างยิ่งกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

“บางครั้งนะ ไอ้หนู” เขาพูด “พวกเจ้าก็เลือกที่จะหาเรื่องผิดคน”




บทที่ห้า


ไคร่ายืนอยู่กลางสะพานที่เต็มไปด้วยผู้คน สัมผัสได้ถึงทุกคู่สายตาที่จับจ้องมองเธอ ทุกคนกำลังรอการตัดสินใจของเธอสำหรับโชคชะตาของหมูป่า แก้มของเธอแดงระเรื่อ เธอไม่ชอบการเป็นจุดสนใจ แม้ว่าเธออยากให้พ่อยอมรับตัวเธอก็ตาม เธอไม่ค่อยยินดีนักกับการที่พ่อผลักภาระการตัดสินใจมาไว้ในมือของเธอ

และในขณะเดียวกัน เธอตระหนักถึงความรับผิดชอบอันใหญ่หลวง ไม่ว่าเธอจะเลือกอะไร เธอจะเป็นคนตัดสินโชคชะตาของผู้คนของเธอ เธอเกลียดชาวแพนดีเซีย เธอไม่ต้องการโยนผู้คนของเธอเข้าสู่สงครามที่พวกเขาไม่มีทางชนะ และเธอก็ไม่ต้องการยอมอ่อนข้อ เพื่อทำให้ทหารของลอร์ดฮึกเฮิม ไม่อยากทำให้คนของเธอต้องอับอาย ทำให้พวกเขาดูอ่อนแอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เอนวินและคนอื่น ๆ ออกมายืนแสดงตัวอย่างกล้าหาญ

เธอรู้ว่าพ่อของเธอฉลาดที่ผลักภาระการตัดสินใจมาให้เธอ เขาทำให้เหมือนกับว่าการตัดสินใจนี้เป็นของพวกเขา ไม่ใช่ทหารของลอร์ด และสิ่งนี้จะช่วยกู้หน้าคนของเขา เธอรู้ว่าพ่อผลักการตัดสินใจมาให้อยู่ในมือของเธอ เพราะเขารู้ว่าสถานการณ์นี้ต้องการเสียงเพื่อช่วยรักษาหน้าของทุกฝ่าย และพ่อเลือกเธอเนื่องจากเธอเหมาะสม พ่อรู้ว่าเธอไม่ผลีผลาม เสียงของเธอเป็นกลาง ยิ่งครุ่นคิดมากเท่าไร ไคร่าก็ยิ่งตระหนักได้ว่าทำไมพ่อถึงเลือกเธอ ไม่ใช่เพราะไม่อยากจุดชนวนสงคราม ถ้าเป็นเหตุผลนั้นพ่อคงเลือกเอนวิน แต่พ่อต้องการพาคนของเขาออกมาอย่างไร้ร่องรอย

เธอตัดสินใจได้แล้ว

“สัตว์ร้ายต้องคำสาป” เธอพูดออกมาโดยไม่สนใจใครทั้งนั้น “มันเกือบฆ่าพี่น้องของข้า มันมาจากป่าแห่งหนามและทำลายวันหยุดในช่วงเหมันต์จันทรา วันต้องห้ามสำหรับการล่า การนำมันเข้ามาในประตูคือความผิดพลาด มันควรถูกทิ้งให้เน่าเปื่อยในป่า อยู่ในที่ของมัน”

เธอหันไปหาทหารของลอร์ดอย่างเย้ยหยัน

“นำไปให้ลอร์ดผู้ว่าของเจ้า” เธอพูดและยิ้ม “เจ้าจะได้ช่วยเรา”

ทหารของลอร์ดมองเธอและมองไปยังสัตว์ร้าย สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไป ตอนนี้พวกเขาทำหน้าขยะแขยง พวกเขาไม่ต้องการมันอีกแล้ว

เอนวินและคนอื่น ๆ มองไคร่าด้วยสายตายอมรับอย่างสุดซึ้ง และเหนือสิ่งอื่นใดมันคือพ่อของเธอที่มองมา เธอได้ทำลงไปแล้ว เธอช่วยกู้หน้าคนของเธอ ละเว้นพวกเขาจากสงคราม และได้เยาะเย้ยแพนดีเซียในเวลาเดียวกัน

พี่ชายของเธอปล่อยหมูป่าไว้บนพื้น มันตกลงบนหิมะเสียงดัง พวกเขาถอยออกมาอย่างถ่อมเนื้อถ่อมตัว ไหล่ของพวกเขาห่อลงอย่างเห็นได้ชัด

ตอนนี้สายตาทุกคู่มองไปยังทหารของลอร์ดที่กำลังยังยืนอยู่ พวกเขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เห็นได้ชัดว่าคำพูดของไคร่านั้นช่างแทงใจ พวกเขามองไปที่สัตว์ร้ายราวกับว่ามันเป็นสิ่งเน่าเหม็นที่ถูกลากขึ้นมาจากหลุมลึกใต้โลก พวกเขาแสดงออกว่าไม่ต้องการมัน แม้ว่าหมูป่าจะเป็นของพวกเขา พวกเขาดูสูญเสียความปรารถนาไปแล้ว

หลังจากที่ยืนอยู่ท่ามกลางความตึงเครียดเป็นเวลานาน ในที่สุดผู้บังคับบัญชาของพวกเขาก็ชี้สั่งการให้ยกสัตว์ร้ายขึ้นมา หันหลังกลับ ทำหน้ามุ่ยและเดินจากไป รู้สึกรำคาญอย่างเห็นได้ชัด เหมือนรู้ว่าเขาถูกทำให้เสียเชิง

ฝูงชนต่างพาแยกย้าย ความตึงเครียดหมดไป แทนที่ด้วยความโล่งอก คนของพ่อหลายคนต่างเห็นพ้อง พวกวางมือลงบนบ่าของเธอ

“ทำได้ดีมาก” เอนวินพูด มองไคร่าด้วยสายตาเห็นชอบ “เจ้าสามารถเป็นผู้ปกครองที่ดีได้ในภายภาคหน้า”

ชาวบ้านต่างพากันเดินออกไป ความอลหม่านและความวุ่นวายกลับมาอีกครั้ง ความเคร่งเครียดสลายลง ไคร่าหันไปและมองหาสายตาของพ่อ พ่อกำลังมองมา เขายืนห่างออกไปไม่กี่ฟุต ต่อหน้าคนของเขา พ่อมักสงวนท่าทีในเรื่องที่เกี่ยวกับเธอ และครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน พ่อมีท่าทางไม่แยแส แต่เขาพยักหน้ามาที่เธอเล็คน้อย การพยักหน้าที่หมายถึงการยอมรับ

ไคร่ามองเห็นเอนวินและไวดาร์กำลังกำหอกของเขา หัวใจของเธอเต้นรัว

“ข้าขอร่วมทางไปด้วยได้ไหม?” เธอถามเอนวิน เธอรู้ว่าพวกเขากำลังจะไปที่สนามซ้อมรบ เช่นเดียวกับคนที่เหลือของพ่อ

เอนวินมองไปที่พ่อของเธออย่างสับสน รู้ว่าเขาต้องไม่ยอมอย่างแน่นอน

“หิมะกำลังหนาขึ้น” เอนวินตอบออกมาอย่างลังเล “ใกล้มืดแล้วด้วย”

“แต่สิ่งนั้นไม่ได้หยุดท่าน” ไคร่าแย้ง

เขายิ้มกลับมา

“ใช่ มันไม่ได้หยุดข้า” เขายอมรับ

เอนวินมองไปที่พ่อของเธออีกครั้ง เธอหันไปมอง พ่อของเธอส่ายหัวก่อนที่จะหันหลังกลับและมุ่งหน้าสู่ด้านใน

เอนวินถอนหายใจ

“พวกเขากำลังเตรียมงานฉลองอันยิ่งใหญ่” เขาพูด “เจ้าควรกลับเข้าไป”

ไคร่าได้กลิ่นของงานเลี้ยง ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นของเนื้อย่างชั้นดี เธอมองเห็นพี่น้องของเธอกำลังเดินเข้าไปด้านใน พร้อมกับชาวบ้านจำนวนหนึ่ง ทั้งหมดกำลังเร่งรีบสำหรับงานเทศกาล

แต่ไคร่าหันกลับมา และมองออกไปยังทุ่งกว้างของสนามซ้อมรบ

“มื้ออาหารรอได้” เธอพูด “การฝึกซ้อมรอไม่ได้ ไปกันเถอะ”

ไวดาร์ยิ้ม และส่ายหัวของเขา

“เจ้าเป็นเด็กผู้หญิง ไม่ได้เป็นนักรบไม่ใช่หรือ?” ไวดาร์ถาม

“ข้าเป็นทั้งสองอย่างไม่ได้หรือ?” เธอตอบ

เอนวินถอนหายใจยาว และส่ายหัว

“พ่อของเจ้าจะลงโทษข้า” เขาพูด

หลังจากนั้น ในที่สุดเขาก็พยักหน้า

“ยังไงเจ้าก็คงไม่ยอม” เขาสรุป “เจ้าได้ใจคนของข้ามากกว่าครึ่ง ข้าคิดว่าเราให้เจ้าเข้าร่วมได้”


*

ไคร่าวิ่งข้ามทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยหิมะ ตามหลังเอนวิน ไวดาร์ และคนของพ่ออีกหลายคน เลโออยู่ข้างเธอเหมือนเคย หิมะตกหนักขึ้น แต่เธอไม่สนใจ เธอรู้สึกเป็นอิสระ เบิกบานใจ เฉกเช่นทุกครั้งที่ได้ผ่านเข้าสู่ประตูนักรบ ประตูโค้งต่ำบนกำแพงหินของสนามซ้อมรบ เธอสูดหายลึก เมื่อเข้ามาถึงด้านใน ภายใต้ท้องฟ้าเปิดโล่ง เธอวิ่งไปยังตำแหน่งที่เธอชื่นชอบมากที่สุด มันคือเนินหญ้าสีเขียวที่ตอนนี้ถูกปกคลุมด้วยหิมะ ล้อมรอบด้วยกำแพงหิน กว้างและลึกประมาณหนึ่งในสี่ไมล์ เธอรู้สึกคุ้นเคยกับทุกอย่างที่ดำเนินอยู่ตอนนี้ ทหารทุกคนกำลังฝึกซ้อม ควบม้าซิกแซก ควงหอก เล็งเป้าหมายระยะไกลและพุ่งเข้าไป นี่คือสิ่งที่เธอต้องการ สิ่งที่เรียกว่าชีวิต

สนามซ้อมรบแห่งนี้ถูกสงวนไว้สำหรับทหารของพ่อ ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้ามา ไม่ว่าเด็กผู้ชายที่อายุยังไม่ถึงสิบแปดปี และใครก็ตามที่ไม่ได้รับเชิญ แบรนดอนและแบร็กซ์ตันเฝ้ารอทุกวันด้วยความอดทนเพื่อที่จะถูกเรียกเชิญ และไคร่าคิดว่าพวกเขาคงไม่มีวัน ประตูนักรบคือสถานที่สำหรับนักรบที่กรำศึก และมีเกียรติ ไม่ใช่สำหรับพวกสมองกลวงอย่างพวกพี่ชายของเธอ

ไคร่าวิ่งผ่านสนามอย่างเริงร่าและมีความสุขมากกว่าที่ไหนในโลก พลังแห่งความมุ่งมั่น นักรบชั้นเลิศของพ่อสวมใส่ชุดเกราะที่แตกต่างกัน นักรบจากทั่วสารทิศของเอสคาลอนต่างมารวมตัวกันที่ป้อมปราการของพ่อ พวกเขามาจากเธบัสและเลปติสที่อยู่ทางใต้และมิดแลนด์ ส่วนใหญ่จะมาจากเมืองหลวงเอนดรอส รวมถึงภูเขาแห่งคอสที่มีชาวตะวันตกจากเยอร์ ริมแม่น้ำจากธูซิสและเขตเอสพุส ผู้ชายที่อาศัยอยู่ใกล้ทะเลสาบไอร์ และน้ำตกเอเวอร์ฟอลล์ที่ไกลออกไป พวกเขาสวมใส่เสื้อเกราะสีต่าง ๆ ถืออาวุธหลากหลายชนิด เหล่าผู้ชายตัวแทนจากแต่ละแห่งในเอสคาลอนสะท้อนถึงความมั่นคง และความสว่างไสวของพลัง

พ่อของเธอเป็นอดีตนักรบของพระราชา ชายผู้ได้รับการยกย่องอย่างสูงส่ง ชายเพียงผู้เดียวในเวลานี้ แห่งอาณาจักรที่แตกสลาย ชายผู้สามารถรวบรวมกำลัง ตั้งแต่การยอมศิโรราบอาณาจักรโดยไม่ยอมต่อสู้ของพระราชาองค์ก่อน พ่อของเธอต้องการให้สืบบัลลังก์ต่อและนำพาสู่การต่อสู้ นักรบที่ยอดเยี่ยมที่สุดของพระราชาองค์ก่อนต่างกลับมา และตอนนี้กองกำลังได้เติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ความแข็งแกร่งของโวลิสแทบจะต่อกรกับเมืองหลวงได้แล้ว บางทีนั่นอาจเป็นสาเหตุที่ไคร่าคิดว่าทหารของลอร์ดต้องการปรามพวกเขา

ที่อื่นในเอสคาลอน ลอร์ดผู้ว่าแห่งแพนดีเซียจะไม่อนุญาตให้อัศวินรวมตัวกัน ไม่ยินยอมให้มีเสรีภาพ เพื่อป้องกันการปฏิวัติ แต่ที่โวลิสต่างออกไป ที่นี่พวกเขาไม่มีทางเลือก พวกเขาจำต้องยอมเพราะพวกเขาต้องการคนที่ยอดเยี่ยมเพื่อปกปักษ์รักษากำแพงอัคคี

ไคร่าหันหลังมองไปเหนือกำแพง เหนือเนินเขาสีขาว ระยะขอบฟ้าอันไกลโพ้น แม้ว่ามันจะมีหิมะตกอยู่ เธอสามารถมองเห็นแสงสว่างลาง ๆ ของกำแพงอัคคี กำแพงแห่งเปลวเพลิงที่ปกป้องเขตแดนตะวันออกของเอสคาลอน กำแพงไฟของกำแพงอัคคีลึกห้าสิบฟุตและสูงหลายร้อยฟุต เปลวเพลิงลุกโหมไหม้ส่องสว่างโชติช่วง สามารถมองเห็นได้บนเส้นขอบฟ้าและยิ่งเด่นชัดมากขึ้นในยามราตรี แผ่ขยายออกไปยาวเกือบห้าสิบไมล์ กำแพงอัคคีคือสิ่งเดียวที่กั้นระหว่างเอสคาลอนและกลุ่มโทรลป่าเถื่อนที่อยู่ทางฝั่งตะวันออก

ถึงกระนั้นก็ยังมีโทรลจำนวนหนึ่งหลุดรอดเข้ามาอาละวาด และถ้าไม่ใช่เพราะคนเฝ้าประตู กลุ่มชายผู้กล้าหาญของพ่อที่คอยดูแลรักษากำแพงอัคคี ป่านนี้เอสคาลอนคงตกเป็นทาสของโทรลไปแล้ว พวกโทรลกลัวน้ำ มันสามารถโจมตีเอสคาลอนบนพื้นดินได้เท่านั้น และกำแพงอัคคีคือสิ่งเดียวที่คอยสกัดกั้นพวกโทรลไว้ ผู้รักษาประตูจะคอยเฝ้าระวังกันเป็นกะ ผลัดเปลี่ยนเวรเดินลาดตระเวน และแพนดีเซียต้องการพวกเขา ยังมีพวกอื่นที่ประจำการอยู่ที่กำแพงอัคคีเช่นกัน ทั้งเหล่าทหารเกณฑ์ ทาสและอาชญากร แต่ผู้รักษาประตูของพ่อคือทหารคนสำคัญ และเป็นเพียงผู้เดียวที่รู้ว่าต้องดูแลรักษากำแพงอัคคีอย่างไร

เพื่อเป็นการตอบแทน แพนดีเซียจึงอนุญาตให้โวลิสได้รับอิสรภาพในเรื่องบางอย่างภายใต้ขอบเขตของการอนุญาต เช่น สนามซ้อมรบแห่งนี้และอาวุธจริง รสชาติของอิสรภาพอันเล็กน้อยที่พอทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนเป็นนักรบเสรี แม้ว่ามันคือภาพลวงตาก็ตาม เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าพวกเขาไม่ใช่เสรีชน พวกเขาใช้ขีวิตด้วยความอึดอัดระหว่างอิสรภาพและความเป็นทาส ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องยอมอดทน

แต่ในประตูนักรบแห่งนี้ อย่างน้อยพวกเขาก็ได้เป็นอิสระในแบบที่เคยเป็น เหล่านักรบสามารถชิงชัย ฝึกฝนและเพิ่มพูนทักษะ พวกเขาเป็นตัวแทนที่ดีที่สุดของเอสคาลอน ดีกว่านักรบที่แพนดีเซียมี พวกเขาคือทหารผ่านศึกของกำแพงอัคคี ทั้งหมดผลัดกันเข้าเวรที่นั่น ไคร่าไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าการเข้าร่วมกับพวกเขา เพื่อพิสูจน์ตัวของเธอเอง เพื่อเข้าประจำการที่กำแพงอัคคี เพื่อต่อสู้กับโทรลเมื่อพวกมันฝ่าเข้ามา และช่วยปกป้องอาณาจักรของเธอจากการรุกราน

เธอรู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เธอยังเด็กเกินไปที่จะได้รับเลือก…และเธอเป็นเด็กผู้หญิง ในกลุ่มไม่มีเด็กผู้หญิงเลยสักคน ต่อให้มีพ่อของเธอจะต้องไม่อนุญาตอย่างแน่นอน นอกจากนี้คนของพ่อมักมองเธอเหมือนเด็ก เมื่อเธอเริ่มมาที่นี่เมื่อปีก่อน ทุกคนรู้สึกตลกกับการปรากฏตัวของเธอ เหมือนเธอมาเป็นผู้ชม แต่หลังจากที่พวกเขากลับไปแล้ว เธอยังคงอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ฝึกฝนทุกวันทุกคืนบนสนามโล่ง ใช้อาวุธและเป้าของพวกเขา ในวันถัดมาพวกเขาต้องประหลาดใจเมื่อพบว่ามีลูกธนูปักอยู่ที่เป้า และประหลาดใจยิ่งกว่าที่เห็นลูกธนูนั้นปักอยู่ตรงกลาง แต่เมื่อนานวันเข้า พวกเขาก็เริ่มคุ้นเคยกับมัน

ไคร่าเริ่มได้รับการอนุญาตจากพวกเขา เธอได้รับการยินยอมให้เข้าร่วมในบางโอกาส หลังจากนั้นสองปี เธอสามารถยิงธนูเข้าเป้าในขณะที่พวกเขาทำไม่ได้ การไม่ยอมรับของพวกเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นความเคารพที่มีต่อตัวเธอ เธอยังไม่เคยต่อสู้ในสงครามเหมือนผู้ชายคนอื่น ยังไม่เคยฆ่าใคร ไม่เคยยืนคุ้มกันกำแพงอัคคี หรือเผชิญหน้ากับโทรล เธอไม่สามารถกวัดแกว่งดาบหรือขวานหรือง้าวหรือสู้ฟัดเหมือนอย่างที่ผู้ชายเหล่านี้ทำ เธอไม่ได้มีร่างกายแข็งแกร่งเท่าพวกเขา นั่นเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกเสียใจอย่างมาก

แต่ไคร่าได้เรียนรู้ว่าเธอมีพรสวรรค์ด้านการใช้อาวุธสองชนิด ธนูและไม้เท้าทำให้เด็กผู้หญิงตัวเท่าเธอกลายเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัว เธอค้นพบโดยบังเอิญในวันพระจันทร์ครั้งที่แล้ว เมื่อเธอไม่สามารถยกดาบด้วยสองมือของเธอ พวกผู้ชายต่างพากันหัวเราะกับการการกวัดแกว่งดาบที่ไร้ความสามารถของเธอ และจากการดูถูกนั้น หนึ่งในพวกเขาได้โยนไม้เท้าเข้ามาอย่างเยาะเย้ย

“ดูซิว่าเจ้าจะยกไม้เท้านี้แทนได้ไหม!” เขาตะโกน และคนอื่น ๆ ก็หัวเราะลั่น ไคร่ายังคงจดจำความอับอายของเธอในครั้งนั้นได้เป็นอย่างดี

ตอนแรกทหารของพ่อมองไม้เท้าของเธอเป็นเรื่องตลก ต่อมาพวกเขาได้นำมาใช้เป็นอาวุธสำหรับการซ้อมรบ ชายผู้กล้าหาญที่แบกดาบสองมือ ขวานและง้าว ผู้ซึ่งสามารถตัดต้นไม้ได้ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว พวกเขามองไม้เท้าของเธอเป็นของเล่น และมันทำให้เธอได้รับการยอมรับน้อยลงไปอีก

แต่เธอทำให้เรื่องตลกกลายเป็นอาวุธแห่งการแก้แค้นที่ไม่คาดคิด อาวุธที่ต้องเกรงกลัว อาวุธที่แม้ตอนนี้ทหารของพ่อเองก็ไม่สามารถรับมือได้ ไคร่ารู้สึกแปลกใจกับน้ำหนักที่เบาของมัน และแปลกใจยิ่งกว่าเมื่อพบว่าเธอสามารถใช้มันได้อย่างเป็นธรรมชาติ เธอสามารถโจมตีเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วในขณะที่ทหารเพิ่งจะชักดาบออกมา ผู้ชายหลายคนที่เธอฝึกฝนด้วยต้องกลับไปพร้อมกับรอยฟกช้ำ นี่คือเส้นทางการต่อสู้ของเธอเพื่อให้ได้มาซึ่งการยอมรับ

ไคร่าผ่านค่ำคืนของการฝึกฝนด้วยตัวเอง เธอเป็นคนสอนตัวเอง ความเชี่ยวชาญทุกท่วงท่าที่ทำให้พวกผู้ชายสับสน การเคลื่อนไหวที่ไม่มีใครเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ พวกเขาเริ่มสนใจไม้เท้าของเธอ เธอจึงสอนพวกเขา ในความคิดของไคร่า ธนูและไม้เท้าของเธอต่างเติมเต็มซึ่งกันและกัน ทั้งสองมีความจำเป็นอย่างเท่าเทียม เธอใช้ธนูสำหรับการต่อสู้ระยะไกล และไม้เท้าสำหรับการต่อสู้ระยะประชิด

ไคร่ายังค้นพบว่าเธอมีพรสวรรค์ที่พวกผู้ชายเหล่านี้ไม่มี ความคล่องแคล่วดุจปลาซิวในท้องทะเลที่เต็มไปด้วยฉลามที่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า คนสูงวัยเหล่านี้มีพลังมหาศาลแต่ไม่รวดเร็วเท่าเธอ ไคร่าสามารถเต้นไปรอบ ๆ พวกเขา กระโจนขึ้นไปในอากาศ แม้แต่ตีลังกาข้ามพวกเขา และม้วนตัวร่อนลงยืนอย่างสวยงามอย่างสมบูรณ์ เมื่อความคล่องแคล่วของเธอรวมกับเทคนิคการใช้ไม้เท้า ทำให้มันกลายเป็นการผสมผสานที่อันตราย

“เธอมาทำอะไรที่นี่?” เสียงห้าวเปล่งออกมา

ไคร่ายืนอยู่ข้างสนามซ้อมรบ ข้างเอนวินและไวดาร์ เสียงควบม้าดังแว่วมา เธอหันไปมอง มัลเทรนกำลังขี่ม้ามา ขนาบข้างด้วยเพื่อนทหารของเขา หายใจอย่างเหนื่อยหอบขณะที่ถือดาบอยู่ในมือ เขาเพิ่งฝึกซ้อมเสร็จ มองมาที่เธออย่างเหยียดหยัน เธอรู้สึกแกร็งท้องแน่น ในบรรดาของทหารของพ่อ มัลเทรนคือคนเดียวที่ไม่ชอบเธอ เขาเกลียดเธอด้วยเหตุผลบางอย่างตั้งแต่แรกเห็น

มัลเทรนนั่งอยู่บนม้าด้วยสีหน้าโกรธจัด พร้อมจมูกที่แบนและใบหน้าอันน่าเกลียด เขาคือชายที่ชื่นชอบความเกลียด และเขาดูเหมือนจะพบเป้าหมายอยู่ในตัวไคร่า เขามักคัดค้านเมื่อเธอมาอยู่ที่นี่เสมอ บางทีอาจเป็นเพราะเธอคือเด็กผู้หญิง

“เด็กน้อย เจ้าควรกลับไปยังป้อมปราการของพ่อเจ้า” เขาพูด “เตรียมงานสำหรับการฉลองเหมือนกับเด็กคนอื่น เจ้าเด็กดื้อ”

เลโอส่งเสียงข่มขู่มัลเทรน ไคร่าวางมือลงบนหัวของมัน เพื่อให้มันถอยไป

“และหมาป่าตัวนั้น ทำไมถึงเข้ามาในสนามได้?” มัลเทรนเสริม

เอนวินและไวดาร์มองมัลเทรนอย่างเย็นชาและแข็งกระด้าง พวกเขาเข้าข้างไคร่า ไคร่ายึดมั่นอยู่ในที่ของเธอและยิ้มตอบ เธอรู้ว่าเธอได้รับการปกป้องและเขาไม่สามารถบังคับให้เธออกไปได้

“บางที่เจ้าควรกลับไปยังสนามซ้อม” เธอแย้งด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “และไม่ต้องมาสนแต่เรื่องเด็กดื้อที่เข้าออกไปมา”

มัลเทรนหน้าแดงก่ำ ไม่สามารถโต้ตอบได้ เขาหันหลังกลับ เตรียมควบม้าออกไป แต่เขาทิ้งทวนคำพูดให้กับเธอ

“วันนี้เป็นการใช้หอก” เขาพูด “เจ้าควรอยู่ให้ห่างจากลูกผู้ชายตัวจริงที่กำลังขว้างอาวุธจริง”

เขาควบม้าออกไปพร้อมกับคนอื่น ๆ เธอมองตาตาม ความสุขของเธอที่ได้อยู่ในสถานที่แห่งนี้ถูกทำลายโดยการปรากฏตัวของเขา

เอนวินมองเธออย่างห่วงใยและวางมือบนบ่าของเธอ

“บทเรียนแรกของนักรบ” เขาพูด “คือการเรียนรู้ที่จะอยู่กับคนที่เกลียดเจ้า ไม่ว่าจะเจ้าชอบหรือไม่ เจ้าจะพบว่าตัวเองกำลังต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา พึ่งพาพวกเขาเพื่อชีวิตของเจ้า บ่อยครั้งศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของเจ้าไม่ได้มาจากภายนอก แต่มันมาจากภายใน”

“และสำหรับผู้ที่ไม่สามารถต่อสู้ ก็ได้แต่พล่าม” อีกเสียงพูดออกมา

ไคร่าหันกลับไป อัทฟาเอลกำลังเดินยิ้มใกล้เข้ามา เข้าข้างเธออย่างรวดเร็วเช่นทุกครั้ง เหมือนกับเอนวินและไวดาร์ อัทฟาเอลเป็นนักรบดุดันร่างสูง หัวล้านและหนวดเคราสีดำยาว เขามักอ่อนโยนกับเธอ เขาคือหนึ่งในนักดาบผู้เก่งกาจที่สุด ยากที่จะเอาชนะ และเขายืนขึ้นเพื่อเธอเสมอ เธอรู้สึกสบายใจกับการปรากฏตัวของเขา

“มันก็แค่การโอ้อวด” อัทฟาเอลเสริม “ถ้ามัลเทรนเป็นนักรบที่ดีกว่านี้ เขาจะกังวลเรื่องตัวเองแทนเรื่องคนอื่น”

เอนวิน ไวดาร์ และอัทฟาเอลขึ้นขี่ม้าของพวกเขาควบออกไปพร้อมกับคนอื่น ๆ ไคร่ายืนอยู่ที่นั่น กำลังมองพวกเขา คิดทบทวน ทำไมบางคนถึงเกลียดเธอ? เธอสงสัย เธอไม่รู้ว่าจะสามารถเข้าใจได้อย่างไร

พวกเขาควบม้าไปทั่วสนาม แข่งขันกันเป็นวงกว้าง ไคร่าศึกษาการสู้รบบนหลังม้าอย่างตื่นเต้น เธอหวังว่าสักวันหนึ่งเธอจะมีม้าเป็นของตัวเอง เธอมองเหล่าทหารที่อยู่ในสนาม ขี่ม้าไปตามแนวกำแพงหิน ม้าของพวกเขาลื่นล้มบนหิมะเป็นครั้งคราว เหล่าทหารจับหอกที่ผู้รับใช้นักรบยื่นมาให้ พวกเขาวนไปรอบ ๆ และขว้างหอกไปยังเป้าหมายระยะที่อยู่ในไกล โล่ที่แขวนไว้กับกิ่งไม้ หอกพุ่งเข้าเป้า ตามด้วยเสียงโลหะกระทบกัน

การขว้างหอกในขณะกำลังควบม้าทำได้ยาก ทหารหลายคนพลาดเป้า โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาเล็งไปยังโล่ที่เล็กกว่า ส่วนคนที่ปาเข้าเป้าก็มีเพียงน้อยนิดที่จะโดนกลางเป้า ยกเว้นเอนวิน ไวดาร์ อัทฟาเอล และอีกสองสามคน เธอสังเกตเห็นมัลเทรนพลาดเป้าไปหลายครั้ง เขาสบถภายใต้ลมหายใจและจ้องมาที่เธอ ราวกับว่าจะโทษว่าเป็นความผิดเธอ

ไคร่าต้องการอบอุ่นร่างกาย เธอจึงดึงไม้เท้าออกมา ใช้มือหมุนควงขึ้นเหนือศีรษะ หมุนรอบตัวไปมาราวกับว่ามันมีชีวิต เธอแทงไปยังศัตรูที่อยู่ในจินตนาการ ปัดป้องลูกธนู สลับมืออย่างว่องไว ควงไม้เท้าขึ้นไปที่คอ รอบเอว ราวกับว่าไม้เท้าเป็นมือที่สามของเธอ ไม้ของเธอสึกหรอไปตามเวลาการใช้งาน

ในขณะที่พวกทหารล้อมวงกันอยู่ที่สนาม ไคร่าวิ่งออกไปยังสนามขนาดเล็กของเธอ พื้นที่เล็ก ๆ ของสนามซ้อมรบที่ไม่มีใครใช้งาน แต่เป็นมุมที่เธอชื่นชอบมากที่สุด ชิ้นส่วนของชุดเกราะถูกผูกกับเชือกห้อยโตงเตงจากต้นไม้ กระจายไปตามความสูงระดับต่าง ๆ ไคร่าวิ่งไปและคิดว่าแต่ละเป้าหมายคือศัตรู โจมตีทุกเป้าหมายด้วยไม้เท้าของเธอ เสียงกระทบของไม้ดังระรัว เธอวิ่งไปรอบ ๆ พ่วงลีลาการฟาดฟัน กวัดแกว่ง และก้มหลบเมื่อมันเหวี่ยงกลับมาหาเธอ เธอจินตนาการว่านี่คือการโจมตีและป้องกันอย่างเฉิดฉาย กำราบกองทัพของศัตรูได้อย่างราบคาบ

“ฆ่าใครได้หรือยัง?” เสียงเยาะเย้ยดังขึ้น

ไคร่าหันกลับมา มัลเทรนอยู่บนม้าของเขา กำลังหัวเราะเย้ยหยันเธอ ก่อนที่จะขี่ม้าออกไป เธอโกรธเคือง หวังว่าจะมีใครสักคนฉีกหน้าเขาได้บ้าง

ไคร่าหยุดพักเมื่อเธอเห็นกลุ่มทหารฝึกซ้อมกับหอกเสร็จแล้ว พวกเขาลงจากม้าและล้อมกันอยู่ตรงกลาง คนรับใช้ของพวกเขารีบเข้ามาและยื่นดาบไม้สำหรับการฝึก ดาบที่ทำมาจากไม้โอ๊คหนา น้ำหนักเกือบเท่าเหล็ก ไคร่าคอยมองจากด้านนอก หัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้น เมื่อเหล่าทหารเตรียมพร้อมต่อสู้ เธอต้องการเข้าร่วมกับพวกเขาอย่างที่สุด

ก่อนที่จะเริ่มต้น เอนวินก้าวมาตรงกลางและมองหน้าพวกเขาทั้งหมด

“ในวันหยุดนี้ เราฝึกเพื่อรางวัลพิเศษ” เขาประกาศ “ผู้ชนะจะได้เลือกส่วนแบ่งอาหารในงานฉลอง!”

เสียงโห่ร้องอย่างตื่นเต้นตามมา พวกเขาเข้าปะทะซึ่งกันและกัน เสียงดาบไม้กระทบดังไปทั่วสนาม พวกเขาต่อสู้กันจนหลังติดกำแพงป้อม

การฝึกซ้อมถูกคั่นจังหวะด้วยเสียงแตร ที่ส่งเสียงขึ้นทุกครั้งเมื่อนักสู้ถูกตีเข้าเป้า และบีบอีกฝ่ายออกไปข้างสนาม เสียงแตรดังบ่อยขึ้นจนคนที่เหลืออยู่เริ่มน้อยลง พวกเขายืนดูและเฝ้ามองข้างสนาม

ไคร่ายืนอยู่ข้างพวกเขา เธออยากเข้าร่วม แม้ว่าเธอจะไม่ได้รับอนุญาต วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบอายุสิบห้าปีของเธอ เธอรู้สึกว่าเธอพร้อมแล้ว เธอรู้สึกว่ามันคือเวลาที่เธอจะแสดงตัว

“ให้ข้าเข้าร่วมด้วยนะ!” เธออ้อนวอนเอนวินที่กำลังยืนดูอยู่ใกล้ ๆ

เอนวินส่ายหัวโดยไม่ละสายตาจากการประลอง

“วันนี้ข้าอายุครบสิบห้าปี!” เธอยืนกราน “ให้ข้าต่อสู้เถอะ!”

เขาจ้องมองมาที่เธออย่างสงสัย

“นี่มันสถานที่ฝึกสำหรับผู้ชาย” เสียงแทรกจากมัลเทรน เขายืนอยู่ด้านข้างหลังจากพ่ายแพ้ “ไม่ใช่สถานที่สำหรับเด็กสาว เจ้าสามารถนั่งดูกับพวกคนรับใช้ และเอาน้ำมาให้เราถ้าเราต้องการ”

ไคร่าหน้าแดงก่ำ

“เจ้ากลัวว่าเด็กผู้หญิงจะล้มเจ้างั้นหรือ?” เธอโต้ตอบ ยืนยันคำพูดของเธอ รู้สึกได้ถึงความโกรธ เธอคือลูกสาวของพ่อ เหนือสิ่งอื่นใดไม่มีใครสามารถพูดแบบนั้นกับเธอได้

ผู้ชายบางคนหัวเราะ และครั้งนี้มัลเทรนหน้าแดง

“เธอมีเหตุผล” ไวดาร์แทรกขึ้นมา “บางทีเราควรให้เธอเข้าร่วม ไม่มีอะไรจะเสียนี่ จริงไหม?”

“สู้ด้วยอะไรล่ะ?” มัลเทรนแย้ง

“ไม้เท้าของข้า!” ไคร่าตะโกนออกมา “กับดาบไม้ของเจ้า”

มัลเทรนหัวเราะ

“นั่นคงเหนื่อยเปล่า” เขาพูด

สายตาทั้งหมดจับจ้องเอนวิน เขายืนอยู่ที่นั่น กำลังตัดสินใจ

“ถ้าเจ้าเจ็บตัว พ่อของเจ้าจะฆ่าข้า” เขาพูด

“ข้าจะไม่ได้รับบาดเจ็บหรอก” เธอขอร้อง

เขายืนอยู่ที่นั่นราวกับเวลาหยุดนิ่ง และถอนหายใจออกมาในที่สุด

“ข้าไม่เห็นว่าจะมีอันตราย” เขาพูด “เมื่อไม่มีอะไรทำให้เจ้าเงียบได้ และตราบเท่าที่ชายเหล่านี้ไม่คัดค้าน” เขาเสริม พร้อมหันไปทางเหล่าทหาร

“ตกลง!” ทหารตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียว ทั้งหมดเอาใจช่วยเธอ ไคร่ารักพวกเขามาก พวกเขาแสดงความชื่นชมต่อเธอ พวกเขาแสดงความรักในแบบที่มีต่อพ่อของเธอ เธอไม่มีเพื่อนมากนัก และพวกผู้ชายเหล่านี้มีความหมายต่อเธอมาก

มัลเทรนเยาะเย้ย

“งั้นก็ให้เด็กผู้หญิงมาทำอะไรโง่ ๆ ด้วยตัวเองแล้วกัน” เขาพูด “ความแข็งแกร่งจะสอนบทเรียนให้เธอในคราวเดียว”

เสียงแตรดังขึ้น ผู้ชายอีกคนออกจากวงล้อม ไคร่าวิ่งเข้ามา

ไคร่ารับรู้ได้ถึงสายตาทุกคู่ที่จับจ้องมองเธอในฐานะผู้ชาย เธอไม่ได้คาดหวังสิ่งนี้ เธอพบว่าตัวเธอเองกำลังเผชิญหน้าคู่ต่อสู้ ชายรูปร่างสูง อายุราวสามสิบ นักรบทรงพลังที่เธอรู้จักตั้งแต่พ่อของเธอเข้ารับตำแหน่ง จากการสังเกตเขา เธอรู้ว่าเขาเป็นนักต่อสู้ที่ดี แต่เขามั่นใจตัวเองเกินไป พุ่งตัวเข้าใส่ทุกครั้งที่เริ่มต้นสู้ ดูจะประมาทไปเล็กน้อย

เขาหันมาหาเอนวินอย่างหน้าบึ้ง

“นี่คิดจะหยามอะไรข้า?” เขาถาม “ข้าไม่สู้เด็กผู้หญิง”

“เจ้าหยามตัวเจ้าเองโดยการกลัวที่จะสู้กับข้า” ไคร่าตอบอย่างองอาจ “ข้ามีสองมือและสองขาเช่นเจ้า ถ้าเจ้าไม่สู้กับข้า เจ้าก็จงยอมรับความพ่ายแพ้”

เขากระพริบตาอย่างตกใจ และถลึงตาใส่

“เอางั้นก็ได้” เขาพูด “อย่าวิ่งหนีไปหาพ่อเจ้าหลังจากแพ้แล้วกัน”

เขาพุ่งตัวด้วยความรวดเร็ว อย่างที่เธอรู้ว่าเขาจะทำ เขายกดาบไม้ขึ้นสูงและตรงเข้ามา เล็งไปที่ไหล่เธอ มันคือการเคลื่อนไหวที่เธอคาดคิด เธอเห็นเขาทำแบบนี้หลายครั้งหลายครา การเคลื่อนไหวแขนของเขาที่ดูงุ่มง่าม ดาบไม้ของเขาทรงพลัง แต่มันหนักเกินไป และดูเก้งก้างเมื่อเทียบกับไม้เท้าของเธอ

ไคร่ามองท่วงท่าของเขาอย่างละเอียด รอจนกระทั่งวินาทีสุดท้าย เธอหลบตัวออก ปล่อยให้การโจมตีอันหนักหน่วงผ่านไปด้านข้าง ในการเคลื่อนไหวเดียวกัน เธอเหวี่ยงไม้เท้าออกไปรอบ ๆ และตีลงบนไหล่ของเขาด้านข้าง

เขาร้องโหยหวน เดินโซเซออกไปด้านข้าง เขายืนตะลึงอย่างรำคาญใจ จำต้องยอมรับต่อความพ่ายแพ้

“มีใครอีกไหม?” ไคร่าถาม ยิ้มกว้าง และมองไปยังกลุ่มทหาร

เหล่าทหารยิ้มอย่างภูมิใจในตัวเธอ ภูมิใจกับการเฝ้าดูเธอเติบโตจนถึงจุดนี้ ยกเว้นมัลเทรนที่กำลังคิ้วขมวดอยู่ข้างหลัง เขาดูราวกับว่ากำลังจะท้าทายเธอ ทันใดนั้นทหารอีกคนแสดงตัวออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง ชายคนนี้ตัวเตี้ยและกว้างกว่า หนวดเคราสีแดงรุงรังและแววตาดุร้าย วิธีการถือดาบของเขาดูออกว่าเขาระวังตัวมากกว่าคู่ต่อสู้คนแรก เธอถือว่านั่นเป็นการยกย่อง ในที่สุดพวกเขาก็เริ่มเอาจริงกับเธอ

เขาพุ่งเข้ามา และไคร่าไม่เข้าใจว่าทำไม แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง การที่รู้ว่าต้องทำอะไรเป็นเรื่องง่ายสำหรับเธอ เหมือนสัญชาตญาณในตัวได้ตื่นขึ้นครอบงำเธอ เธอพบว่าตัวของเธอเบาและคล่องแคล่วขึ้น มากกว่าพวกผู้ชายเหล่านี้ พวกเขาทั้งหมดกำลังต่อสู้ด้วยพละกำลัง พร้อมดาบไม้ เกราะที่หนักและหนา พวกเขาคาดว่าคู่ต่อสู้จะท้าดวลและป้องกันการโจมตี ไคร่ารู้สึกมีความสุขกับการหลบหลีก และหลีกเลี่ยงที่จะต่อสู้ตามเงื่อนไขของพวกเขา พวกเขาสู้ด้วยกำลัง แต่เธอสู้ด้วยความเร็ว

ไม้เท้าของไคร่าเคลื่อนไหวอยู่ในมือเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่ยื่นออกมา เธอควงไม้เท้าอย่างรวดเร็ว จนคู่ต่อสู้ของเธอไม่ทันตอบโต้ เขายังอยู่ในระยะครึ่งทางของการเหวี่ยงดาบในขณะที่เธอยืนอยู่ข้างหลังของเขาเรียบร้อยแล้ว คู่ต่อสู้คนใหม่เล็งเป้ามาที่ช่วงอกของเธอ แต่เธอเพียงแค่หลบออกด้านข้าง เหวี่ยงไม้เท้าขึ้นแล้วตีไปที่ข้อมือของเขา ทำให้ดาบของเขาหลุดออกจากมือ จากนั้นเธอตวัดส่วนปลายของไม้เท้ากลับมาและฟาดลงไปที่หัวของเขา

เสียงแตรดังขึ้น คะแนนเป็นของเธอ เขามองมาที่เธอด้วยความตกใจ พลางกุมหน้าผากของเขา ดาบของเขาอยู่บนพื้น ไคร่าตรวจสอบผลงานของเธอ เธอยังคงยืนอยู่ รู้สึกตกใจกับตัวเองเล็กน้อย

ไคร่ากลายเป็นผู้ชนะ ตอนนี้เหล่าผู้ชายต่างไม่ลังเลที่จะต่อแถวเพื่อประลองทักษะของพวกเขากับเธอ

พายุหิมะพัดโหมอย่างหนักหน่วง สาดใส่คบไฟที่ถูกจุดไว้ในยามค่ำคืน ไคร่าดวลการต่อสู้กับผู้ชายคนแล้วคนเล่า พวกเขาไม่มีรอยยิ้มอีกแล้ว สีหน้าของพวกเขาทั้งหมดดูจริงจังอย่างเอาเป็นเอาตาย และรู้สึกหงุดหงิด ไม่มีใครสามารถแตะต้องเธอได้เลย แต่ละคนจบลงที่การพ่ายแพ้ ในการต่อสู้หนึ่ง เธอกระโดดข้ามหัวของเขาขณะที่เขากำลังแทงดาบเข้ามา เธอหมุนตัวและร่อนลงข้างหลังก่อนที่จะฟาดไม้ลงบนไหล่ของเขา ส่วนอีกคน เธอก้มลงและกลิ้งตัว สลับไม้เท้าในมือและโจมตีเข้าไปอย่างแม่นยำ อย่างไม่คาดคิด ด้วยมือซ้ายของเธอ การเคลื่อนไหวของเธอแต่ละท่านั้นแตกต่างกัน บ้างเป็นท่ากายกรรม บ้างเป็นท่านักดาบ ไม่มีใครคิดไว้ว่าเธอจะทำได้เช่นนี้ พวกเขาต่างเดินออกไปด้านข้างสนามอย่างอับอาย แต่ละคนรู้สึกตกตะลึงที่ต้องยอมรับความพ่ายแพ้

ในไม่ช้าก็เหลือเพียงพวกผู้ชายหยิบมือหนึ่ง ไคร่ายืนตรงกลางของวงล้อม หายใจเหนื่อยหอบ มองดูแต่ละทิศทางเพื่อหาคู่ต่อสู้คนถัดไป เอนวิน ไวดาร์และอัทฟาเอลมองเธอจากด้านข้าง ทั้งหมดมองมาด้วยรอยยิ้มทั่วใบหน้า มองดูอย่างชื่นชม ถ้าพ่อของเธอไม่สามารถมาที่นี่ อย่างน้อยก็ยังมีคนเหล่านี้ที่ภูมิใจในตัวเธอ

ไคร่าจัดการคู่ต่อสู้ได้อีกคนหนึ่ง ด้วยการโจมตีไปด้านหลังหัวเข่า เสียงแตรดังขึ้นอีกครั้ง ในที่สุด เมื่อไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว มัลเทรนก้าวเข้ามาในวงล้อม

“ไม้เด็กเล่น” เขาถ่มน้ำลายออกมา เดินตรงมาที่เธอ “เจ้าสามารถหมุนแท่งไม้ไปรอบตัวในการต่อสู้ นั่นจะไม่ส่งผลดีกับเจ้า เมื่อเจอกับดาบของจริง ไม้เท้าของเจ้าจะถูกตัดเป็นสองท่อน”

“งั้นหรือ แล้วยังไง?” เธอถามเสียงห้าว ไร้ความกลัว รู้สึกถึงเลือดของพ่อของเธอที่กำลังไหลเวียนอยู่ภายในตัว เธอรู้ว่าเธอต้องเผชิญหน้ากับการรังแกนี้มาตลอด โดยเฉพาะผู้ชายคนนี้ที่กำลังมองมาที่เธอ

“แล้วทำไมเจ้าไม่ลองดูล่ะ?” เธอยุแหย่

มัลเทรนกระพริบตากลับด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบแบบนี้ จากนั้นเขาหรี่ตาลง

“ทำไม?” เขาตะโกนกลับมา “เจ้าจะได้วิ่งกลับไปหาพ่อเจ้างั้นรึ?”

“ข้าไม่ต้องการความคุ้มครองจากพ่อของข้า หรือใครก็ตามแต่” เธอตอบ “เรื่องนี้เกี่ยวข้องระหว่างเจ้าและข้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”

มัลเทรนมองไปที่เอนวิน เขาดูไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด เหมือนกับว่าเขาติดอยู่ในหลุมที่ไม่สามารถออกไปได้

เอนวินมองกลับมา รู้สึกกระวนกระใจพอ ๆ กัน

“ที่นี่เราทำการประลองด้วยดาบไม้” เขาตะโกนออกมา “ข้าจะไม่ยอมให้ใครได้รับบาดเจ็บภายใต้การดูแลของข้า…รวมถึงลูกสาวของผู้บังคับบัญชา”





Конец ознакомительного фрагмента. Получить полную версию книги.


Текст предоставлен ООО «ЛитРес».

Прочитайте эту книгу целиком, купив полную легальную версию (https://www.litres.ru/pages/biblio_book/?art=43698223) на ЛитРес.

Безопасно оплатить книгу можно банковской картой Visa, MasterCard, Maestro, со счета мобильного телефона, с платежного терминала, в салоне МТС или Связной, через PayPal, WebMoney, Яндекс.Деньги, QIWI Кошелек, бонусными картами или другим удобным Вам способом.



Если текст книги отсутствует, перейдите по ссылке

Возможные причины отсутствия книги:
1. Книга снята с продаж по просьбе правообладателя
2. Книга ещё не поступила в продажу и пока недоступна для чтения

Навигация